คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3071-3072/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์สามคนต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนตามลำพังฟ้องให้จำเลยใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดทำให้รถยนต์ของโจทก์แต่ละคนเสียหาย แม้จะรวมฟ้องมาในคดีเดียวกันก็ต้องพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ของคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนถ้าทุนทรัพย์ไม่เกิน 50,000 บาท และศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เล็กน้อยก็ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ส่วนทุนทรัพย์ที่ไม่เกิน20,000 บาทนั้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงมาก็เป็นการมิชอบ เพราะปัญหาดังกล่าวยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 4 ในสำนวนหลังฎีกา แต่ในสำนวนหลังนี้ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 4 จึงหาอาจเรียกพยานของตนเข้าสืบได้ไม่ ดังนั้นพยานที่จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในสำนวนแรกนำสืบรวมมาในสำนวนแรก จึงไม่อาจนำมาวินิจฉัยในสำนวนหลังได้
แม้จำเลยที่ 4 จะฎีกาแต่ผู้เดียว แต่คำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 4 เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีผลถึงจำเลยอื่นที่ไม่ได้ฎีกาด้วย
จำเลยทั้งสองต่างขับรถยนต์ด้วยความเร็วแซงและแข่งกันมาเป็นเหตุให้ชนรถของโจทก์ซึ่งจอดอยู่ พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยทั้งสองมีเท่ากัน และเป็นกรณีต่างทำละเมิดโดยไม่ได้ร่วมกัน จึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองต้องรับผิดแบ่งออกเป็นส่วนเท่าๆ กัน

ย่อยาว

คดีแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้ครอบครองรถยนต์แต่ละคันจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นนายจ้างนายอนันต์ซึ่งเป็นผู้ขับ จำเลยที่ 5 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุน จำเลยที่ 1 และนายอนันต์ต่างขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 4 โดยประมาทเลินเล่อด้วยความเร็วสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดแซงและแข่งกันมา เป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของโจทก์ทั้งสามและรถยนต์ของบุคคลอื่นเสียหาย ขอพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาท เหตุที่รถยนต์ชนกันเพราะความประมาทของคนขับรถยนต์คันอื่น ค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสามไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง

จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า นายอนันต์ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาทจำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิด โจทก์เรียกค่าเสียหายมากเกินไป และจำเลยที่ 5 ว่าต้องรับผิดเฉพาะค่าซ่อมรถยนต์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเท่านั้น

คดีหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ขับรถยนต์บรรทุกแต่ละคัน ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 4 ด้วยความประมาทโดยขับแข่งกันมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ 3 คันและรถยนต์ของผู้อื่นเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความระมัดระวัง เหตุเกิดขึ้นเพราะความผิดของจำเลยที่ 3 ค่าเสียหายไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง

จำเลยที่ 3 ให้การว่า ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 เหตุที่รถยนต์ชนกันไม่ได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 3 แต่เกิดจากความประมาทของคนขับรถยนต์คันอื่น รถยนต์ของโจทก์เสียหายไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีแรกให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามพร้อมด้วยดอกเบี้ย และพิพากษาในคดีหลังให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 2 และที่ 3 คดีแรกกับจำเลยที่ 4 คดีหลังอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำนวนเงินที่ให้จำเลยทั้งห้าในคดีแรกร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และแก้จำนวนเงินที่ให้จำเลยทั้งสี่ในคดีหลังร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในคดีหลัง

โจทก์คดีหลังฎีกาขอให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 2 และที่ 3 คดีแรกกับจำเลยที่ 4 คดีหลังฎีกาเรื่องค่าเสียหายขอให้แยกความรับผิดและยกฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีแรกโจทก์ทั้งสามต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนตามลำพังฟ้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดทำให้รถยนต์ของโจทก์แต่ละคนเสียหาย แม้จะรวมฟ้องมาในคดีเดียวกัน ก็ต้องพิจารณาจำนวนทุนทรัพย์ของคดีสำหรับโจทก์แต่ละคนแยกออกต่างหากจากกัน เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 38,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ค่าเสียหายเป็น 27,500 บาท จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6 ส่วนคดีของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 นั้น เป็นคดีที่จำนวนทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3 แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยและพิพากษาเกี่ยวกับข้อเท็จจริงดังกล่าวมาก็เป็นการมิชอบ ปัญหานี้จึงยุติแต่ศาลชั้นต้น โจทก์จะฎีกาขึ้นมาอีกมิได้

ส่วนจำเลยที่ 4 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าขาดนัดยื่นคำให้การแล้วก็เพียงแต่ยื่นใบแต่งทนายความและทนายมาศาลในวันสืบพยานโดยไม่ได้แจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบว่าไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การเพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 199 จึงต้องถือว่าศาลชั้นต้นดำเนินคดีต่อไปโดยจำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควร จำเลยที่ 4 หากเรียกพยานของตนเข้าสืบได้ไม่พยานที่จำเลยที่ 4 นำสืบรวมมาในคดีแรกจึงไม่อาจนำมาวินิจฉัยในคดีนี้ได้

แต่เมื่อฎีกาจำเลยที่ 4 เกี่ยวกับค่าซ่อมรถยนต์โจทก์ฟังขึ้น และคำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่เป็นผลดีแก่จำเลยที่ 4 เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จึงมีผลถึงจำเลยที่ไม่ได้ฎีกาด้วย

เมื่อจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 1 ในคดีหลังต่างขับรถยนต์ด้วยความเร็วแซงและแข่งกันมา รถยนต์กระทบกันเป็นเหตุให้รถยนต์ที่จำเลยที่ 3 ขับไปชนรถยนต์ของโจทก์ที่จอดอยู่นั้น พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยที่ 3 และที่ 1 มีเท่ากัน จำเลยที่ 3 และที่ 1 ต่างทำละเมิดโดยไม่ได้ร่วมกัน จึงไม่ต้องร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 และต่างต้องรับผิดแบ่งออกเป็นส่วนเท่า ๆ กัน ตามมาตรา 438 เมื่อจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนเงินเท่าใร จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นนายจ้างก็ต้องร่วมรับผิดด้วยเพียงเท่านั้นตามมาตรา 425 ฎีกาของจำเลยที่ 4 ข้อนี้ฟังขึ้นและมีผลถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาด้วยดังเหตุผลที่ได้วินิจฉัยไว้แล้ว

พิพากษาแก้จำนวนค่าสินไหมทดแทนที่ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ให้แก่โจทก์สำนวนหลัง ทั้งนี้ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 4 ฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ฝ่ายหนึ่งรับผิดในค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดต่อโจทก์ฝ่ายละครึ่งหนึ่งรับผิดในค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดต่อโจทก์ฝ่ายละครึ่งหนึ่ง

Share