คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6267/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การยกให้ที่พิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่มีเพียง น.ส.3ระหว่าง ช. กับจำเลย มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้จำเลยจะเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมา ก็เป็นการครอบครองแทน ช. มิใช่เป็นการยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท เมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินตาม น.ส.3 ดังกล่าวได้จากการขายทอดตลาดของศาล โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยชอบ และแม้โจทก์ยังปล่อยให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทนับแต่วันที่โจทก์ซื้อที่พิพาทจนถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเจตนาเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครองที่พิพาท จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทแต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารไปให้พ้นจากที่พิพาทให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ 10,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 201ตำบลไม้งาม อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นรายเดือนเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องวันที่20 ตุลาคม 2532 จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองในที่พิพาทดีกว่าโจทก์หรือไม่ เห็นว่าที่พิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 201 ตำบลไม้งามอำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ซึ่งก่อนที่โจทก์จะเป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น นายชำนาญ พิมพิสุทธิ์ เป็นผู้มีชื่อถือสิทธิครอบครองอยู่ในที่ดินดังกล่าวทั้งแปลง รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1เมื่อจำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยนายชำนาญได้ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยตั้งแต่ปี 2513 นิติกรรมการยกให้ซึ่งที่พิพาทระหว่างนายชำนาญกับจำเลยจะสมบูรณ์เป็นเหตุให้จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทได้ก็ต่อเมื่อการยกให้นั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 และประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 4 ทวิ แล้วเท่านั้นข้อเท็จจริง ได้ความจากการนำสืบรับของจำเลยว่า การยกให้ซึ่งที่พิพาทระหว่างนายชำนาญกับจำเลยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพียงแต่ยกให้กันด้วยวาจา แม้จำเลยจะเข้าครอบครองที่พิพาทตลอดมา นิติกรรมการให้ซึ่งที่พิพาทย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย การครอบครองที่พิพาทของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนนายชำนาญ มิใช่เป็นการยึดถือครอบครองในฐานะเจ้าของ จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทเมื่อโจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ได้จากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นซึ่งรวมเนื้อที่ของที่พิพาทอยู่ด้วย โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทโดยชอบ อนึ่งนับแต่โจทก์ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้นมาได้ แม้โจทก์จะยังปล่อยให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทนับถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ก็ตาม แต่ความไม่ปรากฏว่าจำเลยได้บอกกล่าวเจตนาเปลี่ยนแปลงลักษณะการครอบครองที่พิพาทของจำเลยจากการครอบครองแทนนายชำนาญมาเป็นการครอบครองเพื่อจำเลยเองจำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share