คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6263/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือไม่ ต้องดูลักษณะของการกระทำที่จำเลยได้กระทำไปแล้วเป็นสำคัญ ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบ แทงผู้เสียหายที่ด้านหลังในขณะที่ผู้เสียหายล้มลง ผู้เสียหายมีเลือดในโพรงปอดด้านขวาประมาณ600ซี.ซี. หากแพทย์รักษาไม่ทันอาจถึงแก่ความตายได้ เป็นการแทงผู้เสียหายโดยแรงในส่วนสำคัญของร่างกายในสภาพที่จำเลยมีโอกาสเลือกแทงได้ และปรากฏว่าจำเลยจะแทงผู้เสียหายอีก แต่มีผู้ร้องห้าม จำเลยจึงไม่แทง แสดงว่าก่อนมีผู้ร้องห้ามจำเลยมีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ลงโทษจำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ลงโทษจำคุก 5 ปี
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาวประมาณ 1 คืบ แทงผู้เสียหายที่ด้านหลังถึงขนาดที่มีเลือดในโพรงปอดด้านขวาประมาณ 600 ซี.ซี. แสดงว่าจำเลยได้แทงโดยแรงในส่วนสำคัญของร่างกาย ในสภาพที่จำเลยมีโอกาสเลือกแทงได้ในขณะที่ผู้เสียหายล้มลง และตามความเห็นของแพทย์ที่รับผู้เสียหายไว้รักษาก็ได้ความว่า ถ้าไม่ให้แพทย์ทำการรักษาทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้จำเลยจะแทงผู้เสียหายอีกแต่นางสาวชมชื่นร้องห้ามจำเลยจึงไม่แทง การที่จะพิจารณาว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือไม่นั้นต้องดูลักษณะของการกระทำ ที่จำเลยได้กระทำไปแล้วเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าก่อนนางสาวชมชื่นร้องห้าม จำเลยมีเจตนาที่จะฆ่าผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share