คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6261/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 1 ว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีพืชกระท่อมอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 บรรจุกระสอบพลาสติก 3 กระสอบ และกระเป๋าหิ้ว 1 ใบ น้ำหนัก 38.90 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบรรยายฟ้องในข้อ 2 ว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยกับพวกได้พร้อมยึดพืชกระท่อมและรถยนต์กระบะซึ่งเป็นยานพาหนะที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำความผิดบรรทุกขนพืชกระท่อมเป็นของกลาง เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ได้โต้เถียงว่ารถยนต์กระบะของกลางที่ยึดได้นั้นจำเลยมิได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง จึงต้องฟังว่ารถยนต์กระบะของกลางที่ยึดได้เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลมีอำนาจริบได้ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังว่ารถยนต์กระบะของกลางมิใช่ยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษโดยตรงอันจะพึงริบได้ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ นั้น เป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากคำรับสารภาพของจำเลยเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 76, 76/1, 100/1, 102 และริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26 วรรคสอง, 76/1 วรรคสี่ จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 5,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามคนละ 80,000 บาท ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งแล้ว คงปรับคนละ 40,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละ 2 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลยทั้งสามไว้คนละ 2 ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปี 4 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด กับให้จำเลยทั้งสามกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยทั้งสามเห็นสมควรเป็นเวลา 36 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ไม่ริบรถยนต์กระบะของกลางแต่ให้คืนแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สมควรลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามโดยไม่รอการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทและกดประสาททำให้ผู้เสพสามารถทำงานได้นานขึ้นและทนต่อความร้อนมากขึ้นเท่านั้น จึงเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดไม่ร้ายแรง แม้จำเลยทั้งสามมีพืชกระท่อมของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นจำนวนมากถึง 38.90 กิโลกรัม แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสามนำพืชกระท่อมของกลางไปสนับสนุนให้เกิดความไม่สงบในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกา พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่ร้ายแรงมากนัก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสามนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ง – 1208 สงขลา ของกลาง นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องในข้อ 1 ว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันมีพืชกระท่อมอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 บรรจุกระสอบพลาสติก 3 กระสอบ และกระเป๋าหิ้ว 1 ใบ น้ำหนัก 38.90 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และบรรยายฟ้องในข้อ 2 ว่า เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามกับพวกได้พร้อมยึดพืชกระท่อมและรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ง-1208 สงขลา ซึ่งเป็นยานพาหนะที่จำเลยทั้งสามกับพวกใช้ในการกระทำความผิดบรรทุกขนพืชกระท่อมของกลาง เมื่อจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยไม่ได้โต้เถียงว่ารถยนต์กระบะของกลางที่ยึดได้นั้นจำเลยทั้งสามมิได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ และศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดตามฟ้อง จึงต้องฟังว่ารถยนต์กระบะของกลางที่ยึดได้เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งศาลมีอำนาจริบได้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 102 การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ฟังว่ารถยนต์กระบะของกลางมิใช่ยานพาหนะที่ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษโดยตรงอันจะพึงริบได้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 นั้น เป็นการฟังข้อเท็จจริงที่ผิดไปจากคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสามเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน ง-1208 สงขลา ของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share