คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6255/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ฟ้องในข้อหาความผิดตาม ป.อ. มาตรา 199 ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยซ่อนเร้นหรือย้ายศพผู้ตายอย่างไร เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา จำเลยทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วรีบนำศพจากบ้านไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเพื่อทำการฌาปนกิจ โดยไม่แจ้งให้บิดามารดาผู้ตายและพนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ เมื่อมีผู้ขอดูศพผู้ตายจำเลยก็ไม่ยอมให้ดู เป็นการย้ายศพโดยมีเจตนาเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 199.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยใช้ไม้กลมขนาดยาวประมาณ 1 วา โตขนาด 1.5 นิ้วเป็นอาวุธตีประทุษร้ายนางสาวสมจิตรหรือเขียว ชุมคงดำ ถูกบริเวณใบหน้า หน้าอก และตามร่างกายหลายแห่งทำให้ปอดข้างขวาแตก โดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้นางสาวสมจิตรถึงแก่ความตาย ภายหลังจากจำเลยฆ่านางสาวสมจิตรแล้ว จำเลยได้ซ่อนเร้นย้ายศพของนางสาวสมจิตรเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 199, 288 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290, 199 ให้เรียงกระทงลงโทษฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 (ที่ถูกมาตรา 290 วรรคแรก) จำคุก 4 ปี ฐานย้ายศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายตามมาตรา 199 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก4 ปี 6 เดือน ข้อหาอื่นให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ สำหรับข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว สำหรับข้อหาความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามที่โจทก์ฟ้องยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่าจำเลยมีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นตายโดยไม่เจตนา ปัญหาที่จะวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า ฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 199 ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)หรือไม่ ตามฟ้องโจทก์ข้อ 1 ข. บรรยายว่า ภายหลังจากจำเลยได้ฆ่านางสาวสมจิตรหรือเขียวถึงแก่ความตายตามฟ้องข้อ ก. แล้ว จำเลยได้บังอาจซ่อนเร้น ย้ายศพของนางสาวสมจิตรหรือเขียวเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดเจนถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี โดยโจทก์ไม่จำต้องบรรยายว่าจำเลยซ่อนเร้นศพผู้ตายอย่างไร หรือย้ายศพผู้ตายจากไหนไปไหนด้วยก็ได้ เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5) แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาดังกล่าวศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ปัญหาที่จะวินิจฉัยต่อไปจึงมีว่า จำเลยกระทำผิดในข้อหาดังกล่าวด้วยหรือไม่ ปัญหานี้โจทก์และจำเลยได้นำสืบพยานมาแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย โจทก์มีนางเปี้ยน ชุมคงดำ และนายให้ ชุมคงดำมารดาและบิดาของผู้ตายเป็นพยานเบิกความว่า หลังจากพยานทราบข่าวว่าผู้ตายไม่สบายอยู่ที่บ้านบิดาจำเลย พยานทั้งสองกับพวกอีกหลายคนได้เดินทางไปเยี่ยม ปรากฏว่ามีการตั้งศพผู้ตายไว้ที่วัดแล้วขอดูศพผู้ตายจำเลยก็ไม่ให้ดูและเมื่อสอบถามจำเลยถึงสาเหตุการตายจำเลยบอกว่าเป็นไข้ทับระดูตาย ซึ่งขัดกับคำเบิกความของนายแพทย์สุดพงศ์ เตละกุล แพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพผู้ตายว่า ผู้ตายมีรอยช้ำที่หน้าอกด้านขวา ปอดข้างขวาแตก พยานเชื่อว่าผู้ตายตายเนื่องจากถูกฆาตกรรม และโจทก์มีนางชิ้น คำราม เป็นพยานเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ขณะพยานกรีดยางอยู่ที่สวนยางติดกับสวนยางที่จำเลยกับผู้ตายรับจ้างกรีดยางนั้น เห็นจำเลยตบผู้ตาย 3-4 ที แล้วใช้ไม้หาบยางเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้วยาวประมาณ 1 วา ตีบริเวณต้นคอผู้ตาย 1 ที ผู้ตายล้มลง พยานเห็นว่าเป็นเรื่องทะเลาะวิวาทกันระหว่างสามีภรรยาจึงไม่ได้เข้าไปช่วย พยานไปดูศพผู้ตายที่วัดด้วย แต่จำเลยไม่ยอมให้ดูนอกจากนี้โจทก์มีนายปรีชา เพ็งเล็ง ผู้ดูแลสวนยางและเป็นผู้รับผู้ตายเข้าทำงานในสวนยางที่เกิดเหตุเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อทราบว่าผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยบอกพยานว่าผู้ตายไม่สบาย เห็นว่าหากผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะไข้ทับระดูดังที่จำเลยนำสืบจริงขณะที่ผู้ตายป่วยหรือทันทีที่ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยก็น่าจะไปบอกให้บิดามารดาของผู้ตายทราบ แต่จำเลยมิได้กระทำเช่นนั้นประกอบกับจากการตรวจศพของผู้ตายก็พบว่ามีรอยช้ำที่หน้าอกด้านขวาและปอดข้างขวาแตก นายแพทย์สุดพงศ์พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่าผู้ตายตายเนื่องจากถูกฆาตกรรมหาใช่ตายเพราะเป็นไข้ทับระดูดังที่จำเลยนำสืบไม่ พยานโจทก์ทุกปากต่างไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลย ที่จำเลยเบิกความว่าขณะผู้ตายป่วยได้ไปบอกให้บิดามารดาผู้ตายทราบแล้วแต่บิดามารดาผู้ตายโกรธที่ผู้ตายหนีตามจำเลย จึงไม่มาเยี่ยมผู้ตายนั้น ก็มีแต่คำเบิกความของจำเลยเพียงลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นความจริงได้ การที่จำเลยปกปิดความจริงไม่บอกให้บิดามารดาผู้ตายทราบถึงการเจ็บป่วยของผู้ตาย และเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วรีบนำศพจากบ้านไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเพื่อทำการฌาปนกิจโดยมิได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบ เมื่อมีผู้ขอดูศพผู้ตายจำเลยก็ไม่ยอมให้ดู ตามพฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่าหลังจากจำเลยได้ทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วจำเลยย้ายศพผู้ตายออกจากบ้านไปที่วัดเพื่อทำการฌาปนกิจโดยมีเจตนาที่จะปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายของผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดข้อหาฐานนี้ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share