แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่เกิดจากการที่ศาลชั้นต้นอายัดที่ดินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์มูลหนี้ตามฟ้องแย้งเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นไปตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากจากคำฟ้องเดิมฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมชอบที่จำเลยจักฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหาก
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินและหนี้ค่าถมดิน ไฟฟ้า ประปา และจัดทำสำนักงานจำนวนเงิน 16,644,228 บาท พร้อมดอกเบี้ย และโจทก์ที่ 1ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนศาลมีคำพิพากษาในกรณีฉุกเฉินขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินของจำเลยทั้งหมด
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้อง ของ โจทก์ที่ 1 แล้วมีคำสั่งห้ามจำเลยโอนหรือกระทำนิติกรรมใด ๆ ในที่ดินของจำเลยตามโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.4 จ.5 และ จ.6 และได้ออกหมายห้ามชั่วคราวไว้
จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากยังมิได้โอนที่ดินให้แก่จำเลยครบถ้วน ค่าถมดินก่อนทำสัญญาโจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิได้รับ ส่วนค่าถมดินภายหลังทำสัญญาค่าทำสำนักงาน โจทก์ทั้งสองเบิกไปจากจำเลยแล้ว และค่าไฟฟ้าประปา จำเลยได้ชำระให้แล้ว การที่โจทก์ทั้งสองได้มีคำขอเป็นการฉุกเฉินให้ศาลคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาขอให้ศาลมีคำสั่งส่งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินห้ามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของจำเลยจำนวน 175 โฉนด ซึ่งที่ดินดังกล่าวถึงกำหนดที่จะต้องโอนให้แก่ผู้ซื้อ และกำลังดำเนินการให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ซื้ออยู่ การใช้สิทธิดังกล่าวก็เพื่อประโยชน์ร่วมกันของโจทก์ทั้งสองโดยไม่สุจริต ทำให้จำเลยเสียหาย เพราะจำเลยต้องนำเงินค่าโอนที่ดินดังกล่าวตามสัญญาเป็นเงิน 68,880,950 บาท ไปชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ซึ่งจำเลยเป็นหนี้ทั้งสิ้น 53,667,615.39 บาท และจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ 16 ต่อปีเมื่อจำเลยไม่อาจนำเงินที่จะได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไปชำระให้แก่ธนาคารจำเลยก็ไม่อาจจะลดดอกเบี้ยที่จะต้องเสียให้แก่ธนาคารได้ คิดเป็นดอกเบี้ยจากต้นเงินที่จำเลยจะต้องชำระเนื่องจากถูกอายัดที่ดินเป็นเงินวันละ 23,525.53 บาท คำนวณถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 588,138.25 บาท ซึ่งโจทก์ทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ให้แก่จำเลยพร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี จากต้นเงิน588,138.25 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไป โดยให้ทบดอกเบี้ยเข้าไปในต้นเงินของเดือนถัดไปตามที่จำเลยต้องเสียให้แก่ธนาคารทุก ๆ เดือนเสมอไปจนกว่าโจทก์ทั้งสองจะชำระเงินให้จำเลยเสร็จสิ้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยนั้น เห็นว่า เป็นข้อโต้แย้งสิทธิในชั้นคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวระหว่างพิจารณาไม่อาจรวมพิจารณาพิพากษาคดีเข้าด้วยกันได้ หากจำเลยได้รับความเสียหายจากการดำเนินคดีของโจทก์ประการใดก็ชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีต่างหาก จึงไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งสองเป็นเรื่องกล่าวหาว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายที่ดินและเป็นหนี้ค่าถมดิน ไฟฟ้า ประปาและจัดทำสำนักงานจำนวนเงิน 16 ล้านบาทเศษพร้อมดอกเบี้ย แต่ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองที่เกิดจากการที่ศาลชั้นต้นสั่งอายัดที่ดินของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอของโจทก์ที่ 1 เพราะจำเลยต้องนำเงินค่าโอนที่ดินตามสัญญาเป็นเงิน 68,880,950 บาท ไปชำระหนี้ให้แก่ธนาคารซึ่งจำเลยเป็นหนี้ทั้งสิ้น 53,667,615.39 บาท และจำเลยต้องเสียดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ฯลฯ คิดเป็นเงินจากวันถูกอายัดที่ดินถึงวันฟ้องแย้งเป็นเงิน 588,138.25 บาท เช่นนี้ เห็นว่ามูลหนี้ตามฟ้องแย้งเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา เป็นไปตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากจากคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้ง ของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยจักฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นคดีต่างหาก
พิพากษายืน