คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6239/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่พิพาทส่วนที่โจทก์ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นมีจำนวนไม่เกินห้าหมื่นบาท ตามฟ้องไม่ได้บ่งถึงการที่จะบังคับเอาแก่ที่พิพาท จึงไม่ใช่เป็นคดีที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ย่อมต้องห้ามไม่ให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คดีก่อนโจทก์ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนและเรียกค่าเสียหายที่ไม่ได้กรีดยางพาราส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกราคาที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ปลูกต้นยางพาราทำให้ที่พิพาทมีราคาเพิ่มขึ้นคดีทั้งสองจึงมีประเด็นต่างกัน ทั้งในคดีก่อนศาลก็ไม่ได้วินิจฉัยว่าโจทก์และสามีโจทก์เป็นผู้ปลูกต้นยางพาราในที่พิพาท คดีนี้ศาลจึงฟังข้อเท็จจริงตามคดีก่อนไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ในปีที่โจทก์แต่งงานกับนายเปล่งบุตรนายเกลี้ยง นายเกลี้ยงให้คำมั่นยกที่พิพาทให้ปลูกเรือนหอและทำสวนยางพารา โจทก์และสามีได้เข้าครอบครองและปลูกต้นยางพารามานานกว่า ๑๐ ปี ทำให้ที่พิพาทมีราคาสูงขึ้น ๒๗,๐๐๐ บาท ต่อมานายเกลี้ยงขับไล่โจทก์และสามีแล้วเข้าครอบครองที่พิพาทกรีดเอาน้ำยางเสียเอง โจทก์จึงฟ้องนายเกลี้ยง ระหว่างพิจารณานายเกลี้ยงถึงแก่กรรม จำเลยเข้ารับมรดกความ ขอให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่พิพาทที่เพิ่มขึ้นจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายเกลี้ยงไม่เคยให้คำมั่นยกที่พิพาทให้โจทก์และสามีเพียงแต่ให้อยู่อาศัย โจทก์และสามีไม่ได้ทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยนายเกลี้ยงยกให้ก่อนถึงแก่กรรม คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนที่โจทก์ฟ้องนายเกลี้ยง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นภรรยาของนายเปล่ง สมประกอบซึ่งเป็นบุตรนายเกลี้ยง สมประกอบ และจำเลยเป็นบุตรคนหนึ่งของนายเกลี้ยงด้วย นายเปล่งถึงแก่กรรมไปแล้ว โจทก์เคยฟ้องนายเกลี้ยงเป็นจำเลยที่ศาลชั้นต้น กล่าวหาว่านายเกลี้ยงยกที่พิพาทจำนวน ๖ ไร่เศษ ให้โจทก์และนายเปล่ง โจทก์และนายเปล่งเข้าครอบครองที่พิพาทปลูกเรือน ๑ หลัง และปลูกต้นยางพารา มะพร้าว สะตอ ส้มโอ ชมพู่ เต็มเนื้อที่พิพาท ภายหลังนายเกลี้ยงได้ขับไล่โจทก์และนายเปล่งออกไปจากที่พิพาท ขอให้พิพากษาว่าสวนยางพาราพิพาทเป็นสิทธิครอบครองของโจทก์ และให้นายเกลี้ยงใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้กรีดน้ำยางในที่พิพาทระหว่างพิจารณานายเกลี้ยงถึงแก่กรรม จำเลยคดีนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแทนที่นายเกลี้ยงศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๘/๒๕๒๙ คดีถึงที่สุดไปแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ ขอให้จำเลยในฐานะเป็นทายาทผู้รับมรดกของนายเกลี้ยงชดใช้เงินค่าที่พิพาทส่วนที่โจทก์ทำให้ราคาเพิ่มขึ้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่พิพาทส่วนที่โจทก์ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์เพียงแต่เรียกให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่พิพาทส่วนที่โจทก์ทำให้ราคาเพิ่มขึ้นจำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท ตามฟ้องมิได้บ่งถึงการที่จะบังคับแก่ตัวทรัพย์คือที่พิพาท จึงมิใช่เป็นคดีที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ และศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ทั้งเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์พิพาทไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์และนายเปล่งสามีเป็นผู้ปลูกยางพาราในที่พิพาททำให้ราคาที่พิพาทเพิ่มขึ้น ให้จำเลยชดใช้เงินค่าที่พิพาทส่วนที่โจทก์ทำให้ราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวล-กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ศาลฎีกาไม่รับฎีกาข้อนี้ไว้วินิจฉัย
มีปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้ต้องฟังข้อเท็จจริงตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่๙๘/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้นหรือไม่ หรือนัยหนึ่งคู่ความคดีนี้ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าวหรือไม่ที่โจทก์ฎีกาว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๘/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้น ศาลพิพากษาว่า โจทก์และนายเปล่งสามีเป็นผู้ปลูกต้นยางพาราบนที่พิพาทจนเต็มเนื้อที่ และคดีนั้นถึงที่สุดแล้ว คดีนี้จึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลในคดีดังกล่าวฟังมาแล้ว เห็นว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๘/๒๕๒๙ ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนและเรียกค่าเสียหายที่ไม่ได้กรีดน้ำยาง ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกราคาที่พิพาทส่วนที่โจทก์ปลูกต้นยางพารา ทำให้ที่พิพาทมีราคาเพิ่มขึ้น คดีทั้งสองจึงมีประเด็นที่จะวินิจฉัยคนละประเด็นกัน นอกจากนั้นในคดีดังกล่าวศาลก็มิได้วินิจฉัยว่า โจทก์และนายเปล่งเป็นผู้ปลูกต้นยางพาราในที่พิพาทด้วย คดีนี้ศาลจึงฟังข้อเท็จจริงดังเช่นที่โจทก์ฎีกาไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share