คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6238/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ คดีในส่วนจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งห้ากับจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 และนางปาน จำเลยที่ 1 และนางปานมีทรัพย์สินที่ร่วมกันทำมาหาได้เป็นโคและที่ดิน เมื่อนางปานถึงแก่กรรมทรัพย์สินดังกล่าวกึ่งหนึ่งเป็นมรดกตกแก่ทายาท จำเลยที่ 1เป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล แต่ไม่จัดการตามหน้าที่กลับสมคบกับจำเลยที่ 2 โอนทรัพย์มรดกไป ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแบ่งทรัพย์มรดกแก่โจทก์ทั้งห้า
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และนางปานได้ยกทรัพย์สินให้จำเลยที่ 2 แล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 และนางปานยกที่ดินและโคให้จำเลยที่ 2 ก่อนนางปานถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งห้าไม่ได้เกี่ยวข้องจึงไม่มีสิทธิฟ้องขอแบ่งปัน ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินและโคเป็นของจำเลยที่ 2 ห้ามโจทก์ทั้งห้าและบริวารเกี่ยวข้อง
โจทก์ทั้งห้าให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินและโคเป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 1 และนางปานร่วมกันทำมาหาได้ในระยะเป็นสามีภรรยากันหลังจากนางปานถึงแก่กรรมไปแล้วโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา จำเลยที่ 2 ครอบครองทรัพย์มรดกเป็นการครอบครองแทนทายาทอื่น ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลงและโคพิพาทคนละ 1 ใน 30 ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินพิพาททั้งสองแปลงและโคพิพาท22 ใน 30 ส่วน ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทะเบียนเล่ม 120 หน้า 4 สารบบเล่มหมู่ที่ 1 เลขที่ 20 หมู่ที่ 1 ตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ในส่วนที่เกิน 22 ใน 30 ส่วน ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนและให้จำเลยที่ 2 ยินยอมให้จดทะเบียนโอนและส่งมอบที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 คนละ 1 ใน 30 ส่วน ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ร่วมกันส่งมอบที่ดินพิพาทแปลงที่สองตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ผ.1ในส่วนที่อยู่นอกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ดังกล่าวข้างต้นแก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 คนละ 1 ใน 30 ส่วน ให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ส่งมอบโคทรัพย์มรดกแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 คนละ 2 ใน 3 ตัวหากส่งมอบไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ราคาแก่โจทก์ที่ 1ถึงที่ 5 คนละ 3,333,33 บาท คำขออื่นนอกนั้นให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองแบ่งที่ดินพิพาททั้งสองแปลงและโคพิพาททั้ง 20 ตัว ให้โจทก์ทั้งห้าคนละ 1 ใน 30 ส่วน หากตกลงกันไม่ได้ให้ทำการประมูลกันในระหว่างเจ้าของ หากประมูลไม่ได้ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งปันกันตามสิทธิ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ คดีในส่วนจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 แม้ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจะรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยคงรับวินิจฉัยเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 2 ซึ่งฟังไม่ขึ้นทั้งสองข้อ
พิพากษายืน

Share