คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6237/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. มีชื่อโจทก์จำเลยซึ่งเป็น สามีภริยากันในขณะนั้นเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ โดยในบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์ เพื่ออก น.ส.3 ก. ได้ระบุว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์ มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย จึงต้องฟังว่าจำเลยมีเจตนาให้โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง แม้นับแต่โจทก์หย่าขาดกับจำเลยเป็นต้นมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โจทก์ไม่เคยครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนา สละการครอบครอง เพราะกรณีต้องด้วยลักษณะเจ้าของรวม ซึ่งมีผลในทางกฎหมายว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ตราบใดที่จำเลยยังมิได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไป สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ย่อมไม่สิ้นสุดลง โจทก์มีสิทธิเรียกเอาที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ครึ่งหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยามาตั้งแต่ปี 2508 ต่อมาเมื่อปี 2514ได้จดทะเบียนสมรส มีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน คือบ้านเลขที่ 17 กับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2301 เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน รวมราคา280,000 บาท ครั้นปี 2529 จำเลยดูหมิ่นเหยียดหยามทำร้ายร่างกายด่าว่าขับไล่โจทก์กับบุตรโจทก์ซึ่งเกิดจากสามีคนเดิมออกจากบ้านและฟ้องหย่าโจทก์ด้วย ศาลพิพากษาให้หย่ากันแล้ว ขอให้จำเลยแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง เป็นเงิน 140,000 บาทหากแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้โจทก์
จำเลยให้การว่า บ้านและที่ดินที่โจทก์เรียกร้องเป็นของจำเลยมาตั้งแต่เดิมสำหรับที่ดินนั้นจำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินใส่ชื่อโจทก์ร่วมด้วยโดยหลงผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 2301 ตำบลโนนศิลา อำเภอบ้านไผ่จังหวัดขอนแก่น แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้ประมูลขายในระหว่างกันเอง และหากตกลงไม่ได้อีกให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยในชั้นนี้เพียงว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเอาที่ดินพิพาทจากจำเลยได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบไม่โต้เถียงกันว่า ที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2301 ตำบลโนนศิลา อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 31 ไร่ 1 งาน มีชื่อโจทก์จำเลยซึ่งเป็นสามีภริยากันในขณะนั้นเป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ ที่จำเลยเบิกความว่า ตามบันทึกการสอบสวนเพื่อออก น.ส.3 ก. ของที่ดินพิพาท จำเลยไม่เคยแสดงเจตนาให้เจ้าพนักงานที่ดินระบุว่า ยอมให้โจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เมื่อได้รับ น.ส.3 ก. ดังกล่าว ซึ่งมีชื่อโจทก์อยู่ครึ่งหนึ่ง จำเลยก็ไม่คัดค้าน เพราะขณะนั้นจำเลยกับโจทก์ยังอยู่กินด้วยกัน แต่ตามแบบบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 4 ได้ระบุชัดเจนว่าจำเลยยินยอมให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย เช่นนี้ต้องฟังว่าจำเลยมีเจตนาให้โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง จำเลยจะเถียงว่าความจริงจำเลยไม่มีเจตนาจะให้โจทก์ได้ที่ดินพิพาทหาได้ไม่ แม้จะได้ความตามที่จำเลยฎีกาว่านับแต่ปี 2529 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นเวลากว่า 10 ปี โจทก์ไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์มีเจตนาสละการครอบครองดังจำเลยอ้าง เพราะกรณีต้องด้วยลักษณะเจ้าของรวม ซึ่งมีผลในทางกฎหมายว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ ตราบใดที่จำเลยยังมิได้มีการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์อีกต่อไปสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทของโจทก์ย่อมไม่สิ้นสุดลง โจทก์มีสิทธิเรียกเอาที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ครึ่งหนึ่ง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share