คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2714/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินต่อจากบิดาโจทก์แต่จำเลยยื่นหนังสือคัดค้านโดยอ้างว่าที่ดินของโจทก์เป็นของจำเลยแม้การยื่นคำคัดค้านดังกล่าวจะเป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา60แต่เนื้อหาในคำคัดค้านที่จำเลยอ้างว่าที่ดินโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินเป็นที่ดินของจำเลยนั้นเป็นการโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55แล้วทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ได้แนบสำเนาหนังสือคัดค้านที่มีข้อความระบุว่าจำเลยได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามเอกสารแนบท้ายคำฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องและโจทก์ได้ขอให้บังคับจำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทซึ่งย่อมมีความหมายรวมถึงการที่จำเลยไปคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ด้วยซึ่งหากโจทก์ชนะคดีศาลย่อมมีอำนาจบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ได้ศาลชั้นต้นชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้นเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายและเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญมา เกษมวัน บิดาโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เลขที่ 477-98 เมื่อประมาณปี 2500 บิดาโจทก์แบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนให้นายหนู ทองไทย ปลูกบ้านอยู่อาศัย หลังจากนั้นบิดาโจทก์ไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 ดังกล่าวเมื่อบิดาโจทก์ตายโจทก์ดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินต่อจากบิดาโจทก์แต่จำเลยยื่นหนังสือคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยเป็นเจ้าของ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิการครอบครองของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอีก กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,500 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยโดยซื้อมาจากนายวสันต์ บังศรี ตั้งแต่ปี 2537 จำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ บิดาโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ที่จำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินพิพาทเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและโดยสุจริตโจทก์เสียหายไม่เกินเดือนละ 1,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายเหตุที่จำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ซึ่งทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยคือเรื่องที่จำเลยยื่นหนังสือฉบับลงวันที่ 12 กันยายน 2538คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ ทำให้โจทก์ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ โดยมิได้บรรยายในคำฟ้องเลยว่าจำเลยเข้ามาอยู่ในที่ดินของโจทก์หรือไม่ อย่างไรหรือเข้ามาโดยไม่มีสิทธิใด ๆอันเป็นการโต้แย้งสิทธิการครอบครองที่ดินโดยชอบของโจทก์ตามกฎหมายซึ่งจะเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ แต่ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์กลับขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท โดยมิได้ขอให้จำเลยระงับการคัดค้านการออกโฉนดที่ดินตามที่โจทก์อ้างว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิโจทก์แต่ประการใด ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลยนอกเหนือจากข้อโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามคำฟ้องที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์จะสามารถนำสืบได้ตามฟ้องหรือไม่ก็ตามศาลก็ไม่อาจจะพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีก พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่จำเลยยื่นหนังสือคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดอุบลราชธานี สาขาวารินชำราบ โดยจำเลยอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินเป็นการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์บรรยายว่า โจทก์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายและเป็นผู้จัดการมรดกของนายบุญมา เกษมวันบิดาโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 477-98 ตำบลธาตุอำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อประมาณปี 2500บิดาโจทก์แบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนให้นายหนู ทองไทยปลูกสร้างบ้านเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย หลังจากนั้นบิดาโจทก์ไปดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินตาม ส.ค.1 ดังกล่าว เมื่อบิดาโจทก์ตายโจทก์ดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินต่อจากบิดาโจทก์ แต่จำเลยยื่นหนังสือคัดค้านโดยอ้างว่าที่ดินของโจทก์เป็นของจำเลย ดังนี้แม้การยื่นคำคัดค้านดังกล่าวจะเป็นการใช้สิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 60 แต่เนื้อหาในคำคัดค้านที่จำเลยอ้างว่าที่ดินที่โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินเป็นที่ดินของจำเลยนั้น เป็นการโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์จึงชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลชั้นต้นได้ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ได้แนบสำเนาหนังสือคัดค้านที่มีข้อความระบุว่าจำเลยได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามเอกสารแนบท้ายคำฟ้องหมายเลข 7 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง และโจทก์ได้ขอให้บังคับจำเลยและบริวารมิให้เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทซึ่งย่อมมีความหมายรวมถึงการที่จำเลยไปคัดค้านการออกโฉนดที่ดินของโจทก์ด้วย ดังนั้นหากโจทก์ชนะคดีศาลย่อมมีอำนาจบังคับให้ตามคำขอของโจทก์ได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share