คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4461/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุต่างเป็นทางเอกตัดกัน ไม่มีป้ายสัญญาณจราจร ผู้ขับรถทั้งสองทางจึงต้องหยุดรอให้รถที่อยู่ในทางร่วมทางแยกผ่านไปก่อน แต่พฤติการณ์ที่รถทั้งสองคันชนกัน แสดงว่าต่างแล่นมาถึงสี่แยกในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ได้ความชัดว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาถึงก่อน กรณีเช่นนี้หากทั้งสองฝ่ายใช้ความระมัดระวังดูให้ปลอดภัยก่อนเข้าสี่แยกก็สามารถหยุดให้รถอีกฝ่ายหนึ่งแล่นผ่านสี่แยกไปได้โดยไม่เกิดเหตุชนกันขึ้น การที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันเช่นนี้เห็นได้ว่าเกิดจากการที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนประมาทไม่ใช้ความระมัดระวังดูให้ปลอดภัยก่อนขับรถเข้าสู่สี่แยก และเป็นความประมาทที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ค่าเสียหายของรถทั้งสองคันจึงต่างต้องตกเป็นพับกันไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน 5 ฮ – 2239 กรุงเทพมหานคร จากนางเสาวรัฐ ชีวะอิสระกุล จำเลยขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ป – 7080 สงขลา มาตามถนนเทพสงเคราะห์จากทางถนนนิพัทธ์อุทิศ 3 มุ่งหน้าไปทางถนนละม้ายสงเคราะห์ด้วยความประมาทเลินเล่อกล่าวคือ จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงเมื่อรถแล่นมาถึงสี่แยกถนนเทพสงเคราะห์ตัดกับถนนละม้ายสงเคราะห์จำเลยไม่ชะลอความเร็วและจอดรถให้รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 5 ฮ – 2239 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายสุนทร ชีวะอิสระกุล เป็นผู้ขับมาตามถนนละม้ายสงเคราะห์และแล่นถึงสี่แยกก่อนจนใกล้จะพ้นอยู่แล้วได้ผ่านพ้นเสียก่อน เป็นเหตุให้รถยนต์ทั้งสองคันเฉี่ยวชนกัน รถยนต์เก๋งได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยดำเนินการซ่อมแซมรถยนต์เก๋งและได้ชำระเงินค่าซ่อมรถไปเป็นเงิน 364,376.24 บาท จึงรับช่วงสิทธิในค่าเสียหายนับแต่วันดังกล่าวซึ่งคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีถึงวันฟ้องเป็นเงิน 7,205.28 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 371,581.52 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 364,376.24 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยขับรถไปในช่องเดินรถช่องใดจำเลยสามารถใช้ความระมัดระวังได้อย่างไรและกระทำโดยประมาทอย่างไรจึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและเหตุดังกล่าวจึงเกิดจากความประมาทของนายสุนทรมิได้เกิดจากจำเลย การซ่อมรถตามฟ้องเสียค่าซ่อมไม่เกิน 50,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 320,740.24 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน 5 ฮ – 2239 กรุงเทพมหานคร ระหว่างเกิดเหตุอยู่ในอายุสัญญาประกันภัย ตามวันเวลาเกิดเหตุนายสุนทร ชีวะอิสระกุล ขับรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวมาตามถนนละม้ายสงเคราะห์เข้ามาในสี่แยกถนนละม้ายสงเคราะห์ตัดกับถนนเทพสงเคราะห์โดยมุ่งหน้าตรงไปทางถนนศรีภูวนารถ ส่วนจำเลยขับรถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน ป – 7080 สงขลา มาตามถนนเทพสงเคราะห์จากถนนนิพัทธ์อุทิศ 3 เข้ามาในสี่แยกโดยมุ่งหน้าตรงไป แล้วรถทั้งสองคันได้ชนกันในบริเวณสี่แยกเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย โจทก์นำรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวไปซ่อมและชำระเงินค่าซ่อมรถไปแล้ว คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใดนายสุนทรและจำเลยต่างเบิกความยันกันว่าอีกฝ่ายเป็นฝ่ายประมาทไม่ชะลอความเร็วและดูให้ปลอดภัยก่อนขับรถเข้าสู่สี่แยก แต่ได้ความจากพันตำรวจตรีไกรวุฒิ วิริยภาพ พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นพยานโจทก์ว่าถนนตรงที่เกิดเหตุเป็นทางเอกทั้งคู่ไม่มีป้ายสัญญาณจราจร พยานได้ตรวจที่เกิดเหตุและทำแผนที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.4 และนายวิโรจน์พนักงานอุบัติเหตุของโจทก์ได้ถ่ายรูปรถทั้งสองในบริเวณที่เกิดเหตุไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.5 โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้ง ฟังได้ว่ารถทั้งสองคันชนกันในขณะที่รถยนต์เก๋งแล่นเลยจุดสมมุติกึ่งกลางทางแยกไปประมาณ 1.5 เมตร และรถยนต์กระบะแล่นเลยจุดสมมุติดังกล่าวไปประมาณ 0.5 เมตร จุดที่รถชนกันนี้อยู่ในช่องเดินรถของรถยนต์เก๋งซ้อนกับช่องจราจรของรถที่แล่นสวนทางกับรถยนต์กระบะซึ่งอยู่ในสี่แยกตามแผนที่สังเขปเอกสารหมาย จ.4 ส่วนหน้าของรถยนต์กระบะชนที่บริเวณประตูหน้าด้านขวาและล้อหน้าด้านขวาของรถยนต์เก๋งตามภาพถ่ายหมาย จ.5 เห็นว่า บริเวณสี่แยกที่เกิดเหตุต่างเป็นทางเอกตัดกัน ไม่มีป้ายสัญญาณจราจร ผู้ขับรถทั้งสองทางจึงต้องหยุดรอให้รถที่อยู่ในทางร่วมทางแยกผ่านไปก่อน แต่พฤติการณ์ที่รถทั้งสองคันชนกันแสดงว่าต่างแล่นมาถึงสี่แยกในเวลาไล่เลี่ยกัน ยังไม่ได้ความชัดว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาถึงสี่แยกก่อนในกรณีเช่นนี้หากทั้งสองฝ่ายใช้ความระมัดระวังดูให้ปลอดภัยก่อนเข้าสี่แยกก็สามารถหยุดให้รถอีกฝ่ายหนึ่งแล่นผ่านสี่แยกไปได้โดยไม่เกิดเหตุชนกันขึ้นการที่รถทั้งสองคันเกิดชนกันเช่นนี้เห็นได้ว่าเกิดจากการที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีส่วนประมาทไม่ใช้ความระมัดระวังดูให้ปลอดภัยก่อนขับรถเข้าสู่สี่แยก และเป็นความประมาทที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใช้ดุลพินิจให้ค่าเสียหายของรถทั้งสองคันต่างตกเป็นพับกันไปและพิพากษายกฟ้องจึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นตามฎีกาโจทก์อีก ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share