คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอาจพิจารณาแต่คำฟ้องอย่างเดียว เมื่อเห็นว่าเป็นคดีมโนสาเร่ ก็ออกหมายเรียกจำเลยอย่างคดีมโนสาเร่ได้ทีเดียว ยังไม่ต้องพิจารณาคำแก้คดีด้วย
ฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากที่ดินอันมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 500 บาท การที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วย ก็เป็นแต่ผลบังคับส่วนหนึ่งของการขับไล่ แม้กระทบถึงอสังหาริมทรัพย์ คือ สิ่งปลูกสร้างของจำเลยด้วย ก็ไม่ทำให้เป็นคดีแพ่งสามัญ
เมื่อการขาดนัดยื่นคำให้การเป็นความผิดของจำเลยเองแล้ว จำเลยจะมาโต้เถียงอีกไม่ได้ว่า ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดเสียก่อนทำให้ไม่มีคำให้การแก้คดีของจำเลยที่จะให้ศาลวินิจฉัยว่าเป็นคดีแพ่งสามัญ
ในคดีมโนสาเร่ เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แม้ศาลจะไม่ได้นัดสืบพยานไว้ ศาลก็ยังมีอำนาจดำเนินการพิจารณาดคีในวัดนัดตามหมายเรียกนั้นต่อไปได้ตามมาตรา 193 วรรค 4 และในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลก็ยังมีผลเท่ากับจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาด้วยแล้ว ฉะนั้น การที่ศาลแจ้งไปในหมายเรียกด้วยว่าวัดนัดตามหมายนั้นเป็นวัดนัดสืบพยานด้วย จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจเลยเช่าที่ดินตามโฉนดของโจทก์ไปจากโจทก์เป็นเนื้อที่ราว ๖.๒๔ ตารางวา คิดค่าเช่าตารางวาละ ๒ บาทต่อเดือน จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเกินกว่า ๒ ครั้ง และไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป จึงขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ ซึ่งมีราคา ๒,๑๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกคดีมโนสาเร่ นัดให้จำเลยมาให้การและนัดสืบพยานในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๐๔ เวลา ๘.๓๐ น. ถึงวัดนัด จำเลยไม่มาศาลและมิได้ยื่นคำให้การ เวลา ๙.๐๐ น. ศาลจึงสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวเสร็จแล้ว เวลา ๑๓.๑๕ น. จำเลยยื่นคำร้องขอยืดระยะเวลายื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง แล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๙๓ ศาลอาจพิจารณาแก้คำฟ้องอย่างเดียวโดยยังไม่ต้องพิจารณาคำให้การแก้คดีด้วย ถ้าเห็นว่าเป็นคดีมโนสาเร่ ก็ออกหมายเรียกจำเลยอย่างคดีมโนสาเร่ได้ทีเดียว เมื่อคดีนี้ตามฟอ้งโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยผู้เช่าออกจากที่ดินที่จำเลยเช่าโจทก์ อันมีค่าเช่าไม่เกินเดือนละห้าร้อยบาท ก็ถือได้ในเบื้องต้นว่าเป็นคดีมโนสาเร่ ตามมาตรา ๑๘๙ (๑) วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ขอให้บังคับให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้งออกไปด้วยนั้นเป็นผลบังคับส่วนหนึ่งของการขับไล่ แม้กระทบถึงอสังหาริมทรัพย์คือสิ่งปลูกสร้างของจำเลยด้วย ก็ไม่เป็นคดีแพ่งสามัญตามมาตรา ๑๘๙ (๑) วรรคสอง ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกเป็นคดีมโนสาเร่ชอบแล้ว
การขาดนัดยื่นคำให้การก็เป็นความผิดของจำเลยเองที่ให้การแก้คดีไม่ได้ จะมาฎีกาโต้เถียงไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดเสียก่อน ตามสำนวนจึงไม่มีคำกล่าวแก้ของจำเลยให้ศาลวินิจฉัยว่าเป็นคดีแพ่งสามัญ
ส่วนปัญหาที่ว่าศาลนัดสืบพยานในวันเดียวกับที่หมายเรียกให้จำเลยมาให้การจะเป็นการชอบหรือไม่นั้น เห็นว่าวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ตามมาตรา ๑๙๓ วรรคแรก ต้องการให้ตัวจำเลยมาให้การต่อสู้คดีต่อหน้าศาลตามหมาย ถ้าจำเลยไม่ให้การต่อสู้คดีหรือไม่มาศาล ก็ให้ศาลมีอำนาจถือว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณาได้ตามมาตรา ๑๙๓ วรรค ๔ และ ๕ เป็นพิเศษต่างหากจากคดีสามัญ ในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมาตรา ๑๙๓ วรรค ๔ ให้ศาลมีอำนาจดำเนินการพิจารณาคดีในวันนัดตามหมายเรียกนั้นต่อไปได้ โดยไม่ต้องเลื่อนคดีไปนัดสืบพยานอย่างคดีสามัญตามมาตรา ๑๙๘ หรือ ๑๘๔ เสียก่อน ดังจะเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นในเมื่อวรรค ๕ แห่งมาตรา ๑๙๓ นี้เองบัญญัติว่า ถ้าจำเลยไม่มาศาล ให้บังคับตามมาตรา ๒๐๒ คือมีผลเท่ากับว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาด้วย แม้เมื่อศาลไม่ได้นัดสืบพยานไว้ ก็ยังดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปตามวรรค ๔ ได้อยู่แล้วเช่นนี้ ฉะนั้น ที่ศาลแจ้งไปในหมายเรียกด้วยว่าวันนัดตามหมายนั้นเป็นวัดนัดสืบพยานด้วย จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย
พิพากษายืน

Share