คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง และไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนตามมาตรา 68 เพราะกรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายกับพวกได้กระทำการใดซึ่งเป็นการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแก่จำเลย พิพากษาลงโทษจำคุกสุทธิ 3 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ในอุทธรณ์ของจำเลยมิได้มีการกล่าวแก้ว่าผู้เสียหายได้กระทำการใดซึ่งมีลักษณะเป็นการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแก่จำเลย อันจะเป็นเหตุให้จำเลยสามารถใช้สิทธิป้องกันตนเองด้วยการใช้อาวุธปืนของกลางกระทำการต่อผู้เสียหายตามที่โจทก์ฟ้องดั่งที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ แต่จำเลยกลับอุทธรณ์ว่าจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าอาวุธปืนของกลางไม่ได้บรรจุกระสุนปืนไว้ พวกของผู้เสียหายที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างเป็นญาติของจำเลยที่จำเลยสนิทสนมและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายกับพวก เป็นการอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีเจตนาใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า ซึ่งเป็นอุทธรณ์ที่ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การยอมรับแล้ว เพียงแต่จำเลยต่อสู้และนำสืบว่าตนสามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนเองให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงเนื่องจากผู้เสียหายใช้กระบองและพวกของผู้เสียหายใช้มีดจะเข้ามาทำร้ายจำเลยก่อน อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการป้องกันดั่งที่จำเลยให้การต่อสู้กรณีไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 81, 91, 288, 371, 392 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตส่วนข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น จำเลยให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง, 371, 392 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานพยายามฆ่ากับทำให้เกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดจำคุก 4 ปี 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีและพาอาวุธปืนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกฐานมีอาวุธปืน มีกำหนด 6 เดือน และฐานพาอาวุธปืน มีกำหนด 3 เดือน สำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุก 3 ปี 13 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ จำคุก 1 เดือน ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 20 วัน รวมกับโทษฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนแล้ว เป็นจำคุก 9 เดือน 20 วัน ให้ยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่า จำเลยต้องขังมาพอแก่โทษแล้วให้ปล่อยตัวไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกสุทธิ 6 เดือน และ 3 เดือน ตามลำดับ ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้น จำเลยให้การยอมรับว่าได้กระทำการตามฟ้องของโจทก์จริง แต่กระทำเพื่อป้องกันตัว เพราะผู้เสียหายกับพวกจะทำร้ายจำเลยก่อน ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 วรรคหนึ่ง และไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนตามมาตรา 68 เพราะกรณียังฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายกับพวกได้กระทำการใดซึ่งเป็นการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแก่จำเลยพิพากษาลงโทษจำคุกสุทธิ 3 ปี 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ในอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2546 มิได้มีการกล่าวแก้ว่า ผู้เสียหายได้กระทำการใดซึ่งมีลักษณะเป็นการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแก่จำเลยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยสามารถใช้สิทธิป้องกันตนเองด้วยการใช้อาวุธปืนของกลางกระทำการต่อผู้เสียหายตามที่โจทก์ฟ้องดั่งที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ แต่จำเลยกลับอุทธรณ์ว่าจำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าอาวุธปืนของกลางไม่ได้บรรจุกระสุนปืนไว้ พวกของผู้เสียหายที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างเป็นญาติของจำเลยที่จำเลยสนิทสนมและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายกับพวก เป็นการอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่มีเจตนาใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายโดยมีเจตนาฆ่า ซึ่งเป็นอุทธรณ์ที่ตรงข้ามกับข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การยอมรับแล้ว เพียงแต่จำเลยต่อสู้และแนะนำสืบว่าตนสามารถทำเช่นนั้นได้เพราะเป็นการใช้สิทธิป้องกันตนเองให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงเนื่องจากผู้เสียหายใช้กระบองและนายสงัด พวกของผู้เสียหายใช้มีดจะเข้ามาทำร้ายจำเลยก่อน อุทธรณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการป้องกันดั่งที่จำเลยให้การต่อสู้กรณีจึงไม่มีประเด็นที่จะวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยเสีย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 เข้าไปวินิจฉัยพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดข้อหาพยายามฆ่า โดยให้ลงโทษฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญแทน จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบเพราะความผิดข้อหานี้ได้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ปัญหาตามฎีกาของโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และยกฎีกาของโจทก์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share