คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6229/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยมิได้กำหนดระยะเวลาตัดทอนบัญชีหรือกำหนดระยะเวลาของอายุสัญญาบัญชีเดินสะพัดไว้ ดังนั้น สัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยจะสิ้นสุดลงต่อเมื่อมีการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและให้หักทอนบัญชีกันเสียก่อนเมื่อโจทก์หักทอนบัญชีในวันที่ 26 กันยายน 2526 และทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว ย่อมถือได้ว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดแล้วสัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงสุดสิ้นลงในวันดังกล่าวโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นไปถึงวันนั้น ดอกเบี้ยทบต้นที่ธนาคารโจทก์คิดเอาแก่จำเลยตามข้อตกลงในระหว่างสัญญาได้กลายเป็นต้นเงินแล้วจึงมิใช่ดอกเบี้ยค้างส่งอันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 166 เดิม หรือ 193/33 ใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2523 จำเลยเปิดบัญชีกระแสรายวันกับโจทก์ ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2525 จำเลยตกลงกู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดซึ่งขณะนั้นร้อยละ 19 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกวันที่ 1 ของเดือน หากผิดนัดยอมให้นำดอกเบี้ยทบเข้ากับเงินที่เบิกเกินบัญชีแล้วคิดดอกเบี้ยต่อไปตามประเพณีการค้าของธนาคารพาณิชย์ หลังจากนั้นจำเลยได้เดินบัญชีกับโจทก์โดยสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินและนำเงินเข้าบัญชีกระแสรายวันดังกล่าวเรื่อยมา เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2526 ได้หักทอนบัญชีกัน ปรากฎว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ 1,721,554.13 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยโดยไม่ทบต้นตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2526 ถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 1,653,446.60บาท รวมกับต้นเงิน 1,721,554.13 บาท แล้วเป็นเงินทั้งสิ้น3,375,000.73 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 3,375,000.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 1,721,554.13 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ไม่เคยยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ไม่เคยตกลงชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนและไม่เคยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้น การกู้เบิกเงินเกินบัญชีที่มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือย่อมฟ้องร้องไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 ประกอบด้วยมาตรา 856ตามคำขอเปิดบัญชีฝากเงินกระแสรายวันและบัญชีฝากเงินกระแสรายวันท้ายฟ้องไม่มีข้อความให้โจทก์คิดดอกเบี้ยได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลย ตามบัญชีกระแสรายวันท้ายฟ้องแสดงรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีครั้งสุดท้ายนั้นไม่ถูกต้อง หลังวันที่ 6 กรกฎาคม 2526 ซึ่งเป็นวันเคลื่อนไหวทางบัญชีครั้งสุดท้าย หากโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยก็คิดได้ไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีอย่างไม่ทบต้นโจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยค้างส่งเกินห้าปีย่อมขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน1,721,554.13 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่20 กรกฎาคม 2527 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 ร้อยละ 17 ต่อปีนับแต่วันที่ 2 มกราคม 2529 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2529 และร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 5 มีนาคม 2529 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยนับแต่วันดังกล่าวถึงวันฟ้อง (20 กรกฎาคม 2532)ไม่ให้เกิน 1,653,446.60 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยมิได้กำหนดระยะเวลาตัดทอนบัญชีหรือกำหนดเวลาของอายุสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันไว้ ดังนั้นสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยจะสุดสิ้นลง ต่อเมื่อมีการบอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและให้หักทอดบัญชีกันเสียก่อน เมื่อโจทก์หักทอนบัญชีในวันที่ 26 กันยายน 2526 และทวงถามให้จำเลยชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแล้วย่อมถือได้ว่า โจทก์บอกเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดแล้ว สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงสุดสิ้นลงในวันที่ 26 กันยายน2526 ตามวันที่โจทก์เจตนาบอกเลิก โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ถึงวันที่ 26 กันยายน 2526 อันเป็นวันที่สัญญาบัญชีเดินสะพัดสุดสิ้นลง ดอกเบี้ยทบต้นที่ธนาคารโจทก์คิดเอากับจำเลยตามข้อตกลงในระหว่างสัญญานั้นได้กลายเป็นต้นเงินแล้วไม่ใช่ดอกเบี้ยค้างส่งฉะนั้นเมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยได้ถึงวันที่ 26กันยายน 2526 ดังได้วินิจฉัยไว้แล้ว ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 7 กรกฎาคม2526 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2526 จึงเป็นต้นเงินมิใช่ดอกเบี้ยค้างส่ง อันจะอยู่ในอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 166 เดิม หรือ มาตรา 193/33 ทีแก้ไขใหม่
พิพากษายืน

Share