คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6221/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ส่งมอบสินส่วนตัวและแบ่งสินสมรสโจทก์ให้การว่า โจทก์เป็นหนี้ธนาคาร ก. จำนวน 50,000 บาทซึ่งกู้มาใช้ในครอบครัว หากจะต้องแบ่งสินสมรสให้จำเลยจะต้องหักเงินจำนวน 25,000 บาท ให้โจทก์ด้วย ต่อมาโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมถึงที่สุดโดยไม่ได้กล่าวถึงหนี้จำนวน 50,000 บาท ดังกล่าว เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ให้ธนาคาร ก. ไปแล้ว โจทก์มาฟ้องเรียกให้จำเลยรับผิดครึ่งหนึ่งเป็นคดีนี้ กรณีเป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 วรรคแรก เพราะปัญหาหนี้สินที่โจทก์นำมาฟ้องนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อน ซึ่งได้มีการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีแล้ว แม้ศาลจะมิได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ในชั้นชี้สองสถานในคดีก่อนก็ตาม และข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ว่าโจทก์จำเลยไม่ติดใจเรียกร้องมากไปกว่านี้อีกย่อมหมายถึงหนี้สินที่โจทก์ฟ้องนี้ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดในหนี้สินระหว่างสมรสครึ่งหนึ่งเป็นเงิน 23,593 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 884/2530ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 884/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยได้ฟ้องโจทก์ขอให้ส่งมอบสินส่วนตัวและแบ่งสินสมรส โจทก์ให้การประการหนึ่งว่าโจทก์เป็นหนี้ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาผักไห่ เป็นเงิน 50,000 บาท ซึ่งโจทก์กู้มาใช้ในครอบครัว หากจะต้องแบ่งสินสมรสให้จำเลยแล้วจะต้องหักเงินจำนวน 25,000 บาท ให้โจทก์ด้วย ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับสินส่วนตัวและสินสมรส แต่ไม่ได้กล่าวถึงหนี้จำนวน 50,000 บาท ดังกล่าว ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 ระบุว่า โจทก์จำเลยยอมดังกล่าวข้างต้น ไม่ติดใจเรียกร้องมากไปกว่านี้อีก ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาผักไห่ไป 47,186 บาท โจทก์จึงมาฟ้องเรียกจากจำเลยครึ่งหนึ่งเป็นคดีนี้เห็นว่า ตามคำให้การในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 884/2530 ของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ให้การเกี่ยวกับหนี้สินจำนวน 50,000 บาท ดังกล่าวไว้แล้วแม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะกล่าวถึงสินส่วนตัวและสินสมรสอย่างอื่นโดยไม่ได้กล่าวถึงหนี้สินจำนวน 50,000 บาท ที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีนั้น ก็ถือว่ามีการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีแล้ว ข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 ที่ระบุว่าโจทก์จำเลยไม่ติดใจเรียกร้องมากไปกว่านี้อีกย่อมหมายรวมถึงหนี้สินที่โจทก์ฟ้องนี้ด้วยที่ศาลพิพากษาตามยอมถือว่าพิพากษาในประเด็นที่โจทก์ฟ้องนี้ด้วยแล้วแม้ศาลจะมิได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ในชั้นชี้สองสถานในคดีก่อนก็ตามการที่โจทก์นำหนี้สินซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนมาฟ้องเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share