แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเคยฟ้องโจทก์ขอให้ส่งมอบสินส่วนตัวและแบ่งสินสมรส โจทก์ให้การประการหนึ่งว่าโจทก์เป็นหนี้ธนาคารซึ่งโจทก์กู้มาใช้ในครอบครัว หากต้องแบ่งสินสมรสให้จำเลยแล้วจะต้องหักเงินดังกล่าวกึ่งหนึ่งให้โจทก์ด้วย ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้กล่าวถึงหนี้ดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดการที่โจทก์นำหนี้สินซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนมาฟ้องเป็นคดีอีก จึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคแรก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเคยเป็นสามีภรรยากัน ระหว่างการสมรสโจทก์ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารเพื่อลงทุนทำมาหาเลี้ยงครอบครัวโดยจำเลยให้ความยินยอม และโจทก์ได้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 47,186 บาท ต่อมาโจทก์กับจำเลยได้หย่าขาดจากกันตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 827/2529 ของศาลชั้นต้น โจทก์ชำระเงิน 47,186 บาท ให้ธนาคารไปเสร็จสิ้นแล้ว เงินจำนวนนี้จำเลยต้องรับผิดกึ่งหนึ่ง ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 23,593 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การว่า เงินตามฟ้องโจทก์เบิกมาใช้ส่วนตัวไม่ได้นำมาใช้ในครอบครัวฟ้องโจทก์คดีนี้ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 884/2530ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 884/2530 ของศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาในประเด็นข้อพิพาทแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 884/2530 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่884/2530 ของศาลชั้นต้นจำเลยได้ฟ้องโจทก์ ขอให้ส่งมอบสินส่วนตัวและแบ่งสินสมรส โจทก์ให้การประการหนึ่งว่าโจทก์เป็นหนี้ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาผักไห่ เป็นเงิน 50,000 บาท ซึ่งโจทก์กู้มาใช้ในครอบครัว หากจะต้องแบ่งสินสมรสให้จำเลยแล้วจะต้องหักเงินจำนวน 25,000 บาท ให้โจทก์ด้วย ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับสินส่วนตัวและสินสมรส แต่ไม่ได้กล่าวถึงหนี้จำนวน 50,000 บาท ดังกล่าว ในสัญญาประนีประนอมยอมความชั้น 5 ระบุว่า โจทก์จำเลยยอมดังกล่าวข้างต้น ไม่ติดใจเรียกร้องมากไปกว่านี้อีก ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ให้ธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาผักไห่ไป47,186 บาท โจทก์จึงมาฟ้องเรียกจากจำเลยครึ่งหนึ่งเป็นคดีนี้เห็นว่า ตามคำให้การในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 884/2530 ของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ให้การเกี่ยวกับหนี้สินจำนวน 50,000 บาทดังกล่าวไว้แล้วแม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะกล่าวถึงสินส่วนตัวและสินสมรสอย่างอื่นโดยไม่ได้กล่าวถึงหนี้สินจำนวน 50,000 บาท ที่โจทก์เรียกร้องเอาจากจำเลยซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีนั้น ก็ถือว่ามีการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีแล้วข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 5 ที่ระบุว่าโจทก์จำเลยไม่ติดใจเรียกร้องมากไปกว่านี้อีกย่อมหมายรวมถึงหนี้สินที่โจทก์ฟ้องนี้ด้วยที่ศาลพิพากษาตามยอมถือว่าพิพากษาในประเด็นที่โจทก์ฟ้องนี้ด้วยแล้วแม้ศาลจะมิได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ในชั้นชี้สองสถานในคดีก่อนก็ตามการที่โจทก์นำหนี้สินซึ่งเป็นประเด็นข้อพิพาทในคดีก่อนมาฟ้องเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์