แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย มิใช่เป็นการซื้อขายที่ดินจึงเป็นการครอบครองแทนผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทด้วย แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 7435 ตำบลโคกกรวดอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา มีชื่อนายจัน สุวรรนนางล้อม สุวรรน นายถนอม สุวรรน นายโต สุวรรน นายบุญ สุวรรนเด็กชายพร้อม สุวรรน เด็กชายปั่น สุวรรน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์นายจันและนางล้อมได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้ร้องเมื่อพ.ศ. 2499 ในราคา 10,000 บาท โดยผู้มีชื่อในโฉนดทุกคนรู้เห็นยินยอมพร้อมทั้งมอบโฉนดที่ดินให้ผู้ร้องเก็บรักษาไว้ ผู้ร้องได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวมาโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ขอให้มีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว
ผู้คัดค้านทั้งสามยื่นคำคัดค้านว่า นายจันและนางล้อมมิได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง แต่เป็นเรื่องที่นายจันและนางล้อมไปกู้ยืมเงินผู้ร้องจำนวน 10,000 บาทโดยตกลงให้ผู้ร้องเข้าทำนาในที่ดินบางส่วนของนายจันและนางล้อมแทนการชำระดอกเบี้ย ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 7435 ตำบลโคกกรวด อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 72 ตารางวา มีชื่อนายจัน สุวรรน นางล้อม สุวรรน (บิดามารดาผู้คัดค้านทั้งสาม)นายถนอม สุวรรน ผู้คัดค้านที่ 2) นายโต สุวรรน นายบุญ สุวรรน(ผู้คัดค้านที่ 3) เด็กชายพร้อม สุวรรน และเด็กชายปั่น สุวรรน(ผู้คัดค้านที่ 1) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน บิดามารดาผู้คัดค้านทั้งสามถึงแก่กรรมไปแล้ว ผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองโฉนดที่ดินและทำนาในที่ดินพิพาททั้งแปลงตลอดมาเป็นเวลากว่า 30 ปี มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่
ทางพิจารณาผู้ร้องนำสืบว่า เมื่อประมาณ 35 ปีมาแล้ว นายจันนางล้อมขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องในราคา 10,000 บาท ผู้ร้องชำระเงินครบถ้วนแล้วและเข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเต็มเนื้อที่ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน นายจันนางล้อมมอบโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ร้องยึดถือไว้ ผู้ร้องเคยขอให้นายจันนางล้อมไปโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง บุคคลทั้งสองอ้างว่าบุตรยังเป็นผู้เยาว์โอนไม่ได้ นายจันถึงแก่กรรมประมาณ 10 ปีแล้ว นางล้อมถึงแก่กรรมเมื่อประมาณ 4-5 ปีมานี้ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยไม่มีผู้ใดมารบกวน
ผู้คัดค้านทั้งสามนำสืบว่า เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว นายจันนางล้อมกู้ยืมเงินผู้ร้องจำนวน 10,000 บาท แล้วมอบที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องทำกินต่างดอกเบี้ย นายจันถึงแก่กรรมประมาณ พ.ศ. 2519นางล้อมถึงแก่กรรมประมาณ พ.ศ. 2529
พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องและนายชัยสามีผู้ร้องต่างเบิกความอ้างว่า นายจันและนางล้อมขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้อง แต่ผู้ร้องมิได้มีเอกสารใด ๆ มาสนับสนุนข้ออ้างดังกล่าว คงมีพยานบุคคลคือนายล้อม พินิจโคกกรวด นายบัวขาว ใหญ่สูงเนิน นางเหล่าเทศสูงเนิน และนางแสงจันทร์ เคนสันเทียะ มาเบิกความสนับสนุนแต่พยานบุคคลเหล่านี้ก็มิได้เป็นพยานรู้เห็นในการซื้อขายที่ดินพิพาทโดยตรงเพียงได้รับคำบอกเล่ามาอีกทอดหนึ่งจึงมีน้ำหนักน้อย ส่วนผู้คัดค้านทั้งสามนอกจากมีผู้คัดค้านที่ 1 และที่ 2 เบิกความว่าบิดามารดาผู้คัดค้านทั้งสามกู้เงินผู้ร้องแล้วมอบที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องทำกินต่างดอกเบี้ย แล้วยังมีนายเนียม ชมโคกกรวดที่ผู้ร้องยอมรับว่าเป็นผู้รู้เห็นอยู่ด้วย ในขณะทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทมาเบิกความสนับสนุนว่า บิดาผู้คัดค้านทั้งสามชวนพยานซึ่งขณะนั้นพยานเป็นสารวัตรกำนันตำบลโคกกรวดไปเป็นเพื่อนในการกู้ยืมเงินผู้ร้อง และในการนี้บิดาผู้คัดค้านทั้งสามให้ผู้ร้องทำกินในที่ดินพิพาทต่างดอกเบี้ยมิใช่การซื้อขายที่ดินเพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้ยึดถือไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น เห็นว่านายเทียมพยานผู้คัดค้านเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการระดับท้องถิ่นในขณะรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งมิได้มีประโยชน์ได้เสียกับฝ่ายใด คำเบิกความของนายเทียมน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งสามมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของผู้ร้อง คดีฟังได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ยจึงเป็นการครอบครองแทนผู้คัดค้านทั้งสามซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาทด้วย แม้ผู้ร้องจะครอบครองที่ดินพิพาทนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้องชอบแล้ว ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน