คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6220/2550

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่างกันเป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28326/2541 ของศาลชั้นต้น ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อและพิพากษาให้จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ (จำเลยที่ 1 ในคดีนี้) โดยรับรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนไปในสภาพปัจจุบัน ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าวจึงย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสามในคดีนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์จะกล่าวอ้างหรือโต้เถียงให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้แตกต่างไปจากเดิมไม่ได้ แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วยก็ตาม เมื่อเป็นกรณีคำพิพากษาผูกพันคู่ความแล้วก็ต้องฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้เพื่อให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้ออีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,250,000 บาท และให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ชำระค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาเสร็จสิ้น
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย ค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้รับจากจำเลยคุ้มกับความเสียหายแล้ว จำเลยที่ 3 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 960,000 บาท ให้ร่วมกันชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 130,000 บาท นับแต่วันที่ 12 มีนาคม 2541 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ต่อไปอีกเดือนละ 13,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแต่ไม่เกิน 18 เดือน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามที่โจทก์มิได้ฎีกาและจำเลยที่ 1 ยื่นคำแก้ฎีกาโต้แย้งกันว่า ภายหลังจากจำเลยที่ 1 เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อ เบนซ์ รุ่น อี 220 หมายเลขทะเบียน 7 ฐ-0603 กรุงเทพมหานคร จากโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ 31 งวด ต่อมาวันที่ 1 ธันวาคม 2540 จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลย โดยอ้างว่า จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ผิดสัญญา ไม่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อตามที่ได้ตกลงกันไว้ในบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่าซื้อ ตามสำเนาคำฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28326/2541 ของศาลชั้นต้น และต่อมาวันที่ 28 ธันวาคม 2541 ศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวพิพากษาให้จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ชำระเงิน 758,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์ (จำเลยที่ 1 ในคดีนี้) และให้จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) รับรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนไปในสภาพปัจจุบัน จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) อุทธรณ์และฎีกา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2962/2545 แนบท้ายคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว เห็นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่างก็เป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 28326/2541 ของศาลชั้นต้น ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นในคดีดังกล่าวได้วินิจฉัยแล้วว่าจำเลย (โจทก์ในคดีนี้) เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อและพิพากษาให้จำเลย (โจทก์ในคดีนี้) ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ (จำเลยที่ 1 ในคดีนี้) โดยรับรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนไปในสภาพปัจจุบัน ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาของศาลในคดีดังกล่าวจึงย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสามในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง โจทก์จะกล่าวอ้างหรือโต้เถียงให้ศาลวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้แตกต่างไปจากเดิมไม่ได้ แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจะไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าวด้วยก็ตาม เมื่อเป็นกรณีคำพิพากษาผูกพันคู่ความแล้วก็ต้องฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้เพื่อให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้ออีกที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share