คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6220/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อเวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์เทรลเลอร์บรรทุกรถแทรกเตอร์ตักดินมาจอดเสียอยู่บนถนน โดยล้อด้านขวาล้ำอยู่บนถนนห่างจากขอบถนนด้านซ้ายประมาณ 1.50 เมตร โดยไม่เปิดสัญญาณไฟหรือติดตั้งเครื่องหมายสะท้อนแสงหรือสัญญาณใด ๆ เวลาไล่เลี่ยกัน ส. ขับรถยนต์บรรทุกไม้ยางมาเต็มคันรถแล่นมาในทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วสูงชนรถยนต์เทรลเลอร์ที่จำเลยขับมาจอดอยู่โดยแรง เกิดความเสียหายอย่างมาก การที่ ส. ขับรถยนต์บรรทุกไม้มาในเวลากลางคืน แม้หากจะมีรถวิ่งสวนมาทำให้มองเห็นทางข้างหน้าเพียงประมาณ 5-6 เมตร ส. ควรจะลดความเร็วลงจนกว่าจะเห็นว่าอาจขับไปโดยปลอดภัย การที่ ส.ขับรถไปด้วยความเร็วสูงทำให้เห็นรถยนต์เทรลเลอร์ที่จำเลยเป็นคนขับจอดกีดขวางทางอยู่ข้างทางต่อเมื่ออยู่ในระยะกระชั้นชิด หักหลบไม่ทันและชนกันขึ้นถือว่า ส. กระทำโดยประมาทเลินเล่อ เหตุชนกันไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า ส. กับจำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำละเมิดต่อกันเท่า ๆ กัน ค่าเสียหายจึงย่อมเป็นพับกันไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกไว้จากนายจรูญผู้เอาประกันภัยจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันเป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์เทรลเลอร์ และเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2530 เวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยที่ 1ขับรถยนต์เทรลเลอร์บรรทุกรถแทรกเตอร์ตักดินมาตามถนน ปรากฏว่ารถยนต์เทรลเลอร์ยางล้อแตก ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังจำเลยที่ 1 นำรถไปจอดไว้บนถนน โดยล้อด้านขวาล้ำอยู่บนถนนห่างจากขอบถนนด้านซ้ายประมาณ 1.50 เมตรโดยไม่ได้เปิดสัญญาณไฟหรือติดตั้งเครื่องหมายสะท้อนแสงหรือสัญญาณใด ๆ นายสมบูรณ์ขับรถยนต์บรรทุกบรรทุกไม้ยางมาเต็มคันรถแล่นมาในทิศทางเดียวกันกับรถยนต์เทรลเลอร์คันที่จอดเสียอยู่ ได้พุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์เทรลเลอร์อย่างแรงเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกที่นายสมบูรณ์ขับได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายจรูญผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์รับช่วงสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน169,250.85 บาท แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การที่นายสมบูรณ์ขับรถยนต์บรรทุกพุ่งเข้าชนรถยนต์เทรลเลอร์เป็นเพราะนายสมบูรณ์ขับรถด้วยความเร็วสูงและประมาท คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า รถยนต์ซึ่งนายสมบูรณ์ขับได้รับความเสียหาย เก๋งหน้ารถพังยับเยิน ล้อหน้าหลุดออกจากตัวรถทั้งสองล้อ และครูดไปตามถนนห่างจากจุดชนถึง 15.70 เมตร ส่วนรถที่จำเลยที่ 1 เป็นคนขับเป็นรถยนต์เทรลเลอร์บรรทุกรถแทรกเตอร์ตักดินซึ่งมีน้ำหนักมากถูกชนไปไกลห่างจากจุดชนถึง 20.80 เมตร แสดงว่า รถยนต์ซึ่งนายสมบูรณ์ขับชนรถซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นคนขับอย่างแรง และเชื่อว่านายสมบูรณ์ขับรถมาด้วยความเร็วสูง ที่นายสมบูรณ์เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า นายสมบูรณ์ขับรถมาถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่ราบเป็นเวลาประมาณ 21 นาฬิกา ด้วยความเร็ว 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีรถสวนมาจึงชะลอความเร็ว เมื่อรถคันสุดท้ายผ่านไปแล้วจึงเปิดไฟหน้ารถเป็นไฟสูง และเบิกความอีกตอนหนึ่งว่า เมื่อเปิดไฟหน้ารถเป็นไฟสูงเห็นรถยนต์ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นคนขับจอดอยู่ข้างทางห่าง 4-5 เมตร จึงชะลอความเร็วและหักรถหลบไปทางขวาแต่ไม่พ้นนั้น หากนายสมบูรณ์ได้ชะลอความเร็วรถลงจริง นายสมบูรณ์ก็ไม่น่าจะขับรถชนรถที่จำเลยที่ 1 ขับโดยแรงและเกิดความเสียหายมากเช่นนั้น การที่นายสมบูรณ์ขับรถยนต์บรรทุกไม้ไปในเวลากลางคืน หากมีรถวิ่งสวนมาจริงตามที่นายสมบูรณ์เบิกความทำให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะใกล้เพียงประมาณ 5-6 เมตร นายสมบูรณ์จึงควรลดความเร็วรถลงจนเห็นว่าอาจขับไปได้โดยปลอดภัย การที่นายสมบูรณ์ยังขับรถไปด้วยความเร็วสูง ทำให้เห็นรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เป็นคนขับจอดกีดขวางอยู่ข้างทางต่อเมื่ออยู่ในระยะกระชั้นชิดหักรถหลบไม่ทันและเกิดชนกันขึ้น เช่นนี้ ถือได้ว่านายสมบูรณ์ขับรถโดยปราศจากความระมัดระวังเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ตามพฤติการณ์แห่งคดี สภาพความเสียหายของรถทั้งสองคันประกอบแผนที่เกิดเหตุและสภาพของสถานที่เกิดเหตุแล้ว เห็นว่า นายสมบูรณ์กระทำโดยประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยที่ 1 เท่ากับทั้งสองฝ่ายต่างทำละเมิดต่อกันเท่า ๆ กัน ค่าเสียหายจึงย่อมเป็นพับกันไป
พิพากษายืน

Share