คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 622/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 นั้น ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลจะต้องชัดแจ้งเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรบ้าง มิใช่กล่าวแต่เพียงว่าสามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่เกินสามแสนบาทเท่านั้น โดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่าหากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๔๙,๐๔๙.๑๑ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเพื่อไถ่ถอนจำนองจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระขอให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ ๑ ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ถ้าได้เงินจากขายทอดตลาดไม่พอขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองชำระจนครบ
จำเลยทั้งสองให้การสู้คดี
วันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์มาศาลฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาลจึงมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา ให้โจทก์ทำการสืบพยานไปเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลเห็นว่าตามคำให้การจำเลยไม่มีประเด็นที่จะสืบ จึงให้ถือว่าเป็นอันเสร็จการพิจารณาและพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๔๗๖,๗๕๗.๙๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ๑๔ ต่อปี (ไม่ทบต้น) นับแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๑๑ เป็นต้นมา จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ถือว่าเป็นการบังคับจำนองในวงเงิน ๒๔๐,๐๐๐ บาท ซึ่งถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระให้ ก็ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์ และถ้าไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นชำระจนครบได้ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์เป็นจำนวน ๔๐๐,๐๐๐ บาทด้วย
จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องว่า มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา เหตุที่มิได้ไปศาลในวันแรกสืบพยานเพราะจำเลยที่ ๑ ป่วย และจำเลยสามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่เกินสามแสนบาทเท่านั้น
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของจำเลยที่ ๑ ว่า คำร้องมิได้คัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๘ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ปัญหาที่จะวินิจฉัยคงมีว่าคำร้องของจำเลยที่ ๑ ที่ขอให้พิจารณาใหม่นั้นมีข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลในที่นี้จะต้องชัดแจ้งเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดีได้อย่างไรบ้าง มิใช่กล่าวแต่เพียงว่าสามารถพิสูจน์ได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่เกินสามแสนบาทเท่านั้น โดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งว่า หากพิจารณาใหม่แล้ว ศาลอาจพิพากษาให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ได้พิพากษาไปแล้ว ฉะนั้น คำร้องขอของจำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา ๒๐๘ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ศาลจะสั่งให้มีการพิจารณาใหม่ได้
พิพากษายืน

Share