คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6212/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

กระบวนพิจารณาที่ศาลได้กระทำไปภายหลังจากที่พนักงานเดินหมายปิดหมายนัดสืบพยานจำเลยตามคำสั่งศาลยังภูมิลำเนาของทนายจำเลยและตัวจำเลย เนื่องจากไม่มีบุคคลใดยอมรับหมายแทนต้องถือว่าชอบแล้ว จำเลยจะอ้างในภายหลังว่าความจริงทนายจำเลยและตัวจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามที่ปรากฏโดยที่มิได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ศาลทราบไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอบังคับจำเลยให้ชำระหนี้โจทก์ตามหนังสือสัญญากู้รวม 4 ฉบับ เป็นเงิน 420,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน และนับจากวันผิดนัดตามสัญญาแต่ละฉบับเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การสรุปได้ว่า หนี้ตามเอกสารสัญญากู้ทั้ง 4 ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องได้ระงับไปแล้ว จึงไม่มีหนี้สินใด ๆ ที่จำเลยจะต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 420,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินโดยนับจากวันผิดนัดตามสัญญากู้แต่ละฉบับเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ขึ้นมาสู่การพิจารณาในชั้นนี้มิได้เกี่ยวกับกรณีพิพาทอันเป็นประเด็นโดยตรงกันในคดนี้แต่อย่างใดแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับกระบวนพิจารณาในการส่งหมายแจ้งวันนัดให้คู่ความทราบ ซึ่งจำเลยฎีกาโต้แย้งว่า การส่งหมายให้จำเลยรวม 3 นัด คือวันที่ 19 สิงหาคม 2528 วันที่ 19 กันยายน 2528และวันที่ 22 ตุลาคม 2528 ได้ปฏิบัติไปโดยไม่ชอบ กระบวนพิจารณาที่กระทำไปในวันดังกล่าวจึงไม่ถูกต้อง และถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ทราบวันนัดโดยชอบแล้ว ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้ปรากฏหลักฐานในสำเนาว่่าระหว่างการพิจารณาสืบพยานจำเลยซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อน ศาลได้มีคำสั่งให้งดสืบพยานไว้ตามคำขอของคู่ความเนื่องจากมีการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นและสำนวนอยู่ที่ศาลอุทธรณ์ต่อมาโจทก์แถลงขอให้ทำการพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นจึงนัดสืบพยานจำเลยแต่ไม่อาจส่งหมายนัดแจ้งให้จำเลยทราบได้ จึงให้เงื่อนการสืบพยานไปเป็นวันที่ 19 สิงหาคม 2528 และตามคำสั่งศาลให้แจ้งวันนัดแก่นายเดช บุปผาวัลย์ ทนายจำเลยทราบ และเหตุที่ไม่แจ้งให้นายสมภพ ฟูศิริ ทนายจำเลยอีกคนหนึ่งทราบเป็นเพราะเคยส่งหมายนัดแก่ทนายผู้นี้ยังภูมิลำเนาที่ระบุไว้ในใบแต่งทนายแล้วแต่ไม่อาจส่งให้ได้เนื่องจากย้ายที่อยู่ ส่วนผลการส่งหมายนัดให้แก่นายเดช ทนาย ปรากฏว่า ไม่พบตัวและไม่มีผู้ใดยอมรับไว้แทนพนักงานเดินหมายจึงปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล ครั้นถึงวันนัดฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาล ศาลชั้นต้นจึงถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบพร้อมกับมีคำสั่งให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ในวันที่ 19 กันยายน 2528และการส่งหมายในนัดที่สองนี้ก็ปรากฏผลเช่นเดียวกับในนัดแรกคือพนักงานเดินหมายได้ปิดหมายไว้ยังภูมิลำเนาของนายเดชทนายจำเลยซึ่งเมื่อถึงวันนัดฝ่ายจำเลยก็ไม่มีผู้ใดมาศาลอีก ศาลจึงทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วเลื่อนไปสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 22 ตุลาคม 2528 ซึ่งในนัดที่สามนี้ศาลมีคำสั่งให้ส่งหมายนัดแจ้งให้ตัวจำเลยทราบโดยตรงยังภูมิลำเนาที่ระบุไว้ในคำให้การครั้นถึงวันนัดปรากฏว่าฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาลเช่นเคย ศาลชั้นต้นจึงดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์ต่อไปจนเสร็จและนัดฟังคำพิพากษา จำเลยจึงยื่นคำแถลงคัดค้านดังกล่าว
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การปฏิบัติของพนักงานเดินหมายทั้ง 3ครั้งได้กระทำไปตามคำสั่งศาลทุกขั้นตอน โดยได้ปิดหมายไว้ยังภูมิลำเนาของทนายจำเลยและตัวจำเลย ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีบุคคลใดที่จะยอมรับหมายแทน และสถานที่ปิดหมายนั้นก็ได้กระทำไปณ ภูมิลำเนาซึ่งทนายจำเลยและตัวจำเลยได้แจ้งไว้ต่อศาลเองดังนั้นการที่จำเลยจะมาอ้างในภายหลังว่าความจริงทนายจำเลยและตัวจำเลยมิได้มีภูมิลำเนาตามที่ปรากฏดังกล่าวโดยที่มิได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ศาลและคู่กรณีทราบ เช่นนี้จึงเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น กระบวนพิจารณาที่ศาลได้กระทำไปในวันดังกล่าวจึงต้องถือว่าชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น”
พิพากษายืน

Share