คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6211/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้รับมอบอำนาจจากเจ้าของที่ดินให้เสนอขายที่ดินแก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เพื่อก่อสร้างอาคารศูนย์คลังพัสดุและได้มีการยื่นซองประกวดราคาแล้ว ต่อมาจำเลยได้ขอให้โจทก์เป็นผู้ประสานงานในการขายที่ดินดังกล่าว โดยจำเลยตกลงจ่ายเงินให้โจทก์จำนวน 5,000,000 บาท ในวันที่ทำการโอนขายที่ดินให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หลังจากนั้นจำเลยได้ทำข้อตกลงว่าจำเลยจะให้ค่าใช้จ่ายแก่โจทก์เพิ่มเป็นเงินจำนวน 8,000,000 บาท ในที่สุดองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวที่จำเลยได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้เสนอขาย แต่ในการจัดซื้อที่ดิน องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องปฏิบัติไปตามแนวทางที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. จัดตั้งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ. ศ. 2497 และข้อบังคับที่ออกสืบเนื่องจาก พ.ร.บ. ดังกล่าว การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรอยู่ในฐานะผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่มีโอกาสเหนือกว่าเอกชนรายอื่นในการเสนอขายที่ดินให้แก่รัฐวิสาหกิจด้วยกัน ได้ตกลงให้โจทก์เป็นผู้ประสานงานในการเสนอขายที่ดินดังกล่าวให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย จึงมีความหมายยิ่งกว่าการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในเชิงธุรกิจ เมื่อโจทก์และ ศ. ซึ่งเป็นประธานกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต่างเป็นสมาชิกวุฒิสภาซึ่งอยู่ในคณะกรรมาธิการบริหารและยุติธรรมของวุฒิสภาด้วยกันโดยโจทก์ได้รับเลือกจาก ศ. ให้เป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ดังนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับ ศ. จึงผูกพันลึกซึ้งยิ่งกว่าการรู้จักกันโดยปกติธรรมดาทั่วไป อาจทำให้เอกชนรายอื่นที่ต้องเสนอราคาแข่งขันกับจำเลย ตกเป็นผู้เสียเปรียบจำเลย ทั้งยังกระทบถึงผลประโยชน์ของรัฐที่อาจต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินจากการซื้อที่ดินในราคาที่ขาดการแข่งขันตามความเป็นธรรมและความเหมาะสมแห่งสภาพที่ดินนั้น ถือได้ว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นข้อตกลงที่ร่วมกันเอาเปรียบต่อองค์กรของรัฐส่อไปในทางแทรกแซงการบริหารราชการในองค์กรของรัฐ จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะ ป.พ.พ. มาตรา 150 โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินตามที่จำเลยจะให้เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มนี้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ จำเลยได้ทำหนังสือมอบหมายให้โจทก์เป็นผู้ติดต่อประสานงานในการเสนอขายที่ดินที่จำเลยเป็นผู้รวบรวมจากผู้อื่น รวม ๔ โฉนด ให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โดยจำเลย ตกลงที่จะจ่ายเงินจำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ในวันที่ทำการโนที่ดินทั้ง ๔ แปลงดังกล่าว ต่อมาวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ จำเลยได้ทำบันทึกมอบให้แก่โจทก์อีก ๑ ฉบับ เสนอค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้แก่โจทก์ จากเดิม ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นโจทก์ได้ติดต่อประสานงานจนสามารถขายที่ดินทั้ง ๔ แปลงให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ และได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์ซื้อขายกันเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๙ จำเลยได้ ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ยังคงค้างอีกจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย อันเป็นการผิดนัดผิดสัญญา ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีแก่โจทก์ รวมเป็นเงินจำนวน ๓,๑๓๑,๒๕๐ บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของจำนวนเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้รับมอบอำนาจจากนางจิรดา เลิศสิน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินให้ยื่นซองเสนอขายที่ดินดังกล่าวแก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยพร้อมบุคคลอื่น ขณะที่อยู่ในระหว่างพิจารณาของคณะกรรมการจัดซื้อ ที่ดินขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โจทก์และผู้มีชื่อได้ติดต่อกับจำเลยซึ่งกล่าวอ้างว่าสามารถใช้อิทธิพล ในการติดต่อประสานงาน และมอบเงินให้แก่คณะกรรมการจัดซื้อที่ดิน และผู้ใหญ่ในองค์การโทรศัพท์แห่ง ประเทศไทย เพื่อให้คณะกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยอนุมัติซื้อที่ดินที่จำเลยยื่นซองเสนอขายได้ โดยโจทก์เรียกร้องเงินค่าประสานงานวิ่งเต้นจากจำเลยจำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยและเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวหลงเชื่อ จึงอนุมัติให้จำเลยทำหนังสือไว้เป็นหลักฐานแก่โจทก์ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ โจทก์ขอเงินเพิ่มจากจำเลยอีกจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท แต่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่อนุมัติให้เพิ่มจำนวนเงินดังกล่าว โจทก์และจำเลยได้ยกเลิกข้อตกลงเพิ่มเงินตามนามบัตรดังกล่าวแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากจำเลยอีก นอกจากนี้ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ให้โจทก์ดำเนินการติดต่อประสานงานและมอบเงินให้แก่คณะกรรมการจัดซื้อที่ดิน และผู้ใหญ่ในองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เพื่อให้อนุมัติซื้อที่ดินที่จำเลยเสนอขายนั้น เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ ประชาชน ตกเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้รับมอบอำนาจจากนางจิรดา เลิศสิน เจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๑๑๕ ถึง ๓๖๑๑๘ ให้เสนอขายที่ดินทั้ง ๔ แปลง ดังกล่าวแก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เพื่อก่อสร้างอาคารศูนย์คลังพัสดุและได้มีการยื่นซองประกวดราคาแล้ว ต่อมาจำเลยได้ขอให้โจทก์เป็นผู้ประสานงานในการขายที่ดินดังกล่าว โดยจำเลยตกลงจ่ายเงินให้โจทก์จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในวันที่ทำการโอนขายที่ดินให้แก่องค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย จ.๒ หลังจากนั้นจำเลยได้บันทึกข้อความที่ด้านหลังนามบัตรของตนว่าจะให้ ค่าใช้จ่ายแก่โจทก์เพิ่มจากเดิม ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวนเงิน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามเอกสารหมาย จ.๓ ในที่สุดองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ซื้อที่ดินทั้ง ๔ แปลงดังกล่าวที่จำเลยได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้เสนอขาย จำเลยจึงจ่ายเงินจำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ บา ให้แก่โจทก์ โดยไม่ยอมจ่ายเงินให้แกโจทก์อีก ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่บันทึกไว้ด้านหลังนามบัตร เอกสารหมาย จ.๓ แล้ววินิจฉัยว่า ข้อตกลงที่จำเลยเป็นผู้จัดทำขึ้น ตามเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ นั้น หากกรณีเป็นการมอบให้โจทก์เป็นผู้ประสานงานติดต่อหรืออำนวยความสะดวกในทางธุรกิจระหว่างเอกชนด้วยกัน ย่อมถือได้ว่าเป็นข้อตกลงที่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย โดยพิเคราะห์ถึงหลักความสุจริตและหลักความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนารวมตลอดถึงหลักทั่งไปของการตีความสัญญาดังข้ออ้างของโจทก์ แต่กรรนี้หาใช่การทำข้อตกลงในทางธุรกิจตามปกติธรรมดาไม่ เพราะเป็นการมอบให้โจทก์เป็นผู้ประสานงานในการเสนอขายที่ดินให้แก่องค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทยอันเป็นองค์กรแห่งรัฐประเภทรัฐวิสาหกิจ ทั้งนี้ เพื่อใช้ที่ดินดังกล่าวก่อสร้างอาคารศูนย์คลังพัสดุ ซึ่งในการจัดซื้อที่ดินนั้นองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องปฏิบัติไปตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติ จัดตั้งองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๗ และข้อบังคับที่ออกสืบเนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยประกาศแสดงความปรสงค์จะซื้อที่ดินด้วยวิธีประกวดราคาผู้ใดต้องการเสนอขายที่ดินให้แก่องค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทย จะต้องเสนอราคาเข้าแข่งขันกันต่อคณะกรรมการรับและเปิดซองประกวดราคา จากนั้นจะมีคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาและคณะกรรมการตรวจรับเป็นผู้ดำเนินการตามลำดับดังปรากฏตามเอกสารหมาย ล.๗ และ ล.๘ นอกจากนี้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาทางองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้สงวนสิทธิ์ที่จะ ไม่ซื้อที่ดินจากผู้เสนอราคาต่ำสุดแต่จะนำองค์ประกอบอื่นมาประกอบการพิจารณาด้วย ตามประกาศองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ข้อ ๔ ในเอกสารหมาย ล.๗ ด้วยเหตุนี้การที่จำเลยซึ่งเป็นผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรอยู่ในฐานะผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่มีโอกาสเหนือกว่าเอกชนรายอื่นในการเสนอขายที่ดินให้แก่รัฐวิสาหกิจด้วยกัน ได้ตกลงให้โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในขณะนั้นเป็นผู้ประสานงานในการเสนอขายที่ดินดังกล่าวให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงมีความหมายยิ่งกว่าการติดต่อสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในเชิงธุรกิจ นอกจากนี้โจทก์รู้จักเป็นส่วนตัวกับพลเอกศิรินทร์ ประธานกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เพราะพลเอกศิรินทร์เป็นสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในคณะกรรมาธิการการบริหารและยุติธรรมของวุฒิสภาด้วยกันกับโจทก์ พลเอกศิรินทร์เลือกโจทก์เป็นที่ปรึกษาของพยานเพื่อให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย อันเป็นการแต่งตั้งในฐานะเป็นเลขานุการของประธานกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ดังนั้นสายสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับประธานกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงผูกพันลึกชึ้งยิ่งกว่าการรู้จักกันโดยปกติธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้การที่จำเลยตกลงให้โจทก์เป็นผู้ประสานงานในการเสนอขายที่ดินให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่างเอกชนกับรัฐ กล่าวคือ ทำให้โจทก์ใช้ความสนิทสนมและสถานะทางการงานที่ใกล้ชิดกับผู้บริหารสูงสุดขององค์การโทรศัพท์ แห่งประเทศไทย เอื้อประโยชน์ให้แก่จำเลย โดยคำนึงถึงค่าจ้างที่ได้รับจากจำเลยเป็นส่วนตัว แม้โจทก์บริสุทธิ์และต้องการช่วยเหลือจำเลยให้ได้รับความเป็นธรรมดังที่โจทก์ฎีกาโต้แย้งก็ตาม แต่พฤติกรรมดังกล่าวอาจทำให้เอกชนรายอื่นที่ต้องเสนอราคาแข่งขันกับจำเลยตกเป็นผู้เสียเปรียบจำเลยเนื่องจากมิได้จ้างโจทก์ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของประธานกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยคอยประสานงานและช่วยเหลือให้เกิดความเป็นธรรมดังเช่นการเสนอราคาของจำเลย ทั้งยังกระทบถึงผลประโยชน์ของรัฐที่อาจต้องใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินจากการซื้อที่ดินในราคา ที่ขาดการแข่งขัน ตามความเป็นธรรมและความเหมาะสมแห่งสภาพที่ดินนั้น ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงที่ร่วมกันเอาเปรียบต่อองค์กรของรัฐส่อไปในทางแทรกแซงการบริหารราชการในองค์กรของรัฐ จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐
พิพากษายืน

Share