คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6202/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา199เป็นความผิดเกี่ยวกับการทำลายพยานหลักฐานไม่ใช่ความผิดต่อสาธารณชนจึงเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐโดยตรงแม้จำเลยทั้งห้าจะร่วมกันย้ายศพผู้ตายเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายก็ตามโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของผู้ตายก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4)จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าในข้อหาความผิดดังกล่าว อำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นบิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญโชติผู้ตาย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2532 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยที่ 1 ใช้ให้นายวาดกับพวกอีกหลายคนฆ่าผู้ตายจนผู้ตายถึงแก่ความตาย ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2532 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยทั้งห้าร่วมกันซ่อนเร้นย้ายศพผู้ตายโดยช่วยกันนำศพผู้ตายจากบริเวณหน้าโรงเรียนระโนดวิทยาใส่รถเข็นแล้วนำไปทิ้งห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 700 เมตร เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย เหตุเกิดที่ตำบลระโนด อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 199, 83, 84 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปีข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 83 เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ทั้งสองเพียงว่า จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199, 83 หรือไม่ เห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 เป็นความผิดเกี่ยวกับการทำลายพยานหลักฐาน ไม่ใช่ความผิดต่อสาธารณชน จึงเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐโดยตรงแม้จำเลยทั้งห้าจะร่วมกันย้ายศพนายบุญโชติ หนูประดิษฐ์ ผู้ตายเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายก็ตาม โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดาของผู้ตายก็ยังเรียกไม่ได้ว่าเป็นบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งห้าในข้อหาความผิดดังกล่าวและอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้คู่ความมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาความผิดดังกล่าว จึงต้องยกฟ้อง
พิพากษายืน

Share