คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2548/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาที่บริษัทโจทก์ทำกับจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นลูกจ้างว่าภายในกำหนดเวลา 24 เดือน นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง ลูกจ้างจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนาทำ ผลิต หรือจำหน่าย (สุดแต่จะพึงปรับได้กับกรณีของลูกจ้าง) ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ตนเคยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในระหว่างที่ทำงานกับบริษัท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากบริษัท สัญญาดังกล่าวไม่ได้ห้ามจำเลยทั้งสองไม่ให้กระทำโดยเด็ดขาด คงห้ามเฉพาะสิ่งที่เป็นการแข่งขันกับงานของโจทก์ และในส่วนของงานที่จำเลยเคยทำกับโจทก์ทั้งเป็นการห้ามเพียงตามกำหนดระยะเวลาดังกล่าวข้างต้นเท่านั้นไม่เป็นการตัดการประกอบอาชีพของจำเลยทั้งหมดเสียทีเดียวจึงเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีในเชิงการประกอบธุรกิจโดยชอบ ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายสินค้าประเภทเคมีภัณฑ์และอื่น ๆ รวมทั้งแลคเกอร์สำหรับเคลือบผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ จำเลยทั้งสองเคยทำงานเป็นพนักงานของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 ทำงานตำแหน่งวิศวกรฝ่ายขาย ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม2527 ถึงวันที่ 4 มีนาคม 2532 ส่วนจำเลยที่ 2 ทำงานตำแหน่งผู้แทนขายฝ่ายเทคนิค ตั้งแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2527 ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2532 โจทก์จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาจ้างไว้ต่อกันซึ่งในข้อ 9 ระบุไว้ใจความว่า ลูกจ้างให้สัญญาว่าจะไม่กระทำการต่อไปนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ ข้อ ข(2) ภายในกำหนด24 เดือน นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุด ลูกจ้างจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือดำเนินการไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนา ทำ ผลิต หรือจำหน่ายซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของโจทก์ซึ่งตนเคยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้ออกจากบริษัทโจทก์ไปแล้วจนถึงวันฟ้องคดีนี้ยังอยู่ในเวลา 2 ปี จำเลยทั้งสองได้ไปทำงานกับบริษัทสี ไอซีไอ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ประกอบกิจการแข่งขันกับโจทก์จำเลยที่ 1 ได้เปิดเผยความลับทางการค้าตลอดจนสูตร วิธีการผลิตแลคเกอร์สำหรับเคลือบผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ให้บริษัทดังกล่าวทราบโดยอาศัยความรู้จากที่ได้เคยทำงานกับโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ชักจูงลูกค้าของโจทก์ให้เป็นลูกค้าของบริษัทดังกล่าว โดยอาศัยความคุ้นเคยที่จำเลยทั้งสองได้ทำงานกับโจทก์ จำเลยทั้งสองได้ฝ่าฝืนสัญญาดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ต้องได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิให้ทำงานกับบริษัท สี ไอซีไอ (ประเทศไทย)จำกัด หรือบริษัทที่ประกอบกิจการแข่งขันกับโจทก์มีกำหนด 2 ปีสำหรับจำเลยที่ 1 นับแต่วันที่ 4 มีนาคม 2532 จำเลยที่ 2 นับแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2532 และให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 672,000 บาท และ 492,000 บาท ตามลำดับพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์จำเลยทั้งสองให้การว่าสัญญาส่วนนี้เป็นโมฆะ เพราะมีวัตถุที่ประสงค์ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ส่วนที่โจทก์ขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองทำงานกับบริษัทสี ไอซีไอ (ประเทศไทย)จำกัด และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองด้วยนั้น ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ศาลสั่งตามที่โจทก์ขอได้ ขอให้ยกฟ้อง ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า สัญญาข้อ 9 (ข)(2) ไม่เป็นโมฆะ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 11,000 บาท ต่อเดือนและจำเลยที่ 2 ชำระเงินให้โจทก์เป็นเงิน 7,000 บาท ต่อเดือนมีกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ศาลพิพากษาเป็นต้นไป จำเลยที่ 1ที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ได้พิจารณาสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองในข้อที่กล่าวแล้วมีความว่า ” 9. ลูกจ้างให้สัญญาว่าจะไม่กระทำการต่อไปนี้โดยมิได้รับความยินยอมจากบริษัท (ข) ภายในกำหนดเวลา 24 เดือน นับแต่สัญญาจ้างสิ้นสุดลง (2)เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการพัฒนา ทำ ผลิต หรือจำหน่าย (สุดแต่จะพึงปรับได้กับกรณีของลูกจ้าง) ซึ่งผลิตภัณฑ์อันเป็นการแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งตนได้เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วยในระหว่างที่ทำงานกับบริษัท”ตามสัญญาดังกล่าวนั้นมิใช่เป็นการห้ามจำเลยทั้งสองมิให้กระทำโดยเด็ดขาด จำเลยทั้งสองอาจกระทำได้เมื่อได้รับความยินยอมจากโจทก์ การกระทำที่ห้ามนั้นเป็นการห้ามเฉพาะสิ่งที่เป็นการแข่งขันกับงานของโจทก์ และเฉพาะส่วนของงานที่จำเลยทั้งสองเคยทำกับโจทก์ ทั้งกำหนดเวลาที่ห้ามไว้นั้นก็มีเพียง 24 เดือนนับแต่จำเลยทั้งสองพ้นจากการเป็นลูกจ้างโจทก์ เท่านั้นลักษณะของข้อสัญญาที่ก่อให้เกิดหนี้ในการงดเว้นการกระทำตามที่กำหนดโดยเจตนาของคู่กรณีเช่นนี้ ไม่เป็นการตัดการประกอบอาชีพของจำเลยทั้งสองทั้งหมดทีเดียว เพียงแต่เป็นการห้ามประกอบอาชีพบางอย่างที่เป็นการแข่งขันกับโจทก์ในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นและกำหนดไว้ไม่นานเกินสมควร เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่รักษาสิทธิและประโยชน์ของคู่กรณีที่เป็นไปโดยชอบในเชิงของการประกอบธุรกิจไม่เป็นการปิดการทำมาหาได้ของฝ่ายใดโดยเด็ดขาดจนไม่อาจดำรงอยู่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวนี้ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนมีผลใช้บังคับกันได้ ไม่เป็นโมฆะ ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share