คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้แม้จะไม่มีประจักษ์พยานขณะจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายก็ตาม แต่พยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งประกอบด้วยบันทึกคำรับสารภาพของจำเลยที่ 2 คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 2 ในชั้นสอบสอนพยานบุคคลแวดล้อมกรณี วัตถุพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องเชื่อมโยงเป็นลำดับ ทั้งมีรายละเอียดเอกสารจากหน่วยงานต่าง ๆ ลำดับเหตุการณ์ไว้ทุกขั้นตอนยากที่จะปรุงแต่งขึ้นได้ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ที่อ้างว่าขณะเกิดเหตุอยู่ที่อื่นไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุก็ดี ถูกทำร้ายจนต้องรับสารภาพก็ดี ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92, 93, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบอาวุธปืนพกของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 อีกกึ่งหนึ่ง และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 อีกหนึ่งในสามตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในแต่ละคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 (เดิม) พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุกตลอดชีวิต ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี และฐานพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานฆ่าผู้อื่นศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จึงไม่อาจเพิ่มโทษอีกหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ได้ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานมีอาวุธปืนและฐานพาอาวุธปืนส่วนที่เพิ่มโทษและลดโทษเท่ากัน จึงไม่เพิ่มไม่ลดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 54 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 34 ปี 10 เดือน ริบอาวุธปืนพกของกลาง คำขออื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ด้วย ริบอาวุธปืนของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยสรุปว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนายกนกพล ผู้ตาย ถึงแก่ความตาย และทิ้งศพไว้บริเวณที่เกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจัดเก็บตัวอย่างคราบโลหิตที่ศพของผู้ตายส่งไปตรวจหาดีเอ็นเอ ปรากฏว่าพบคราบโลหิตมนุษย์ มีดีเอ็นเอบุคคลเพศชาย และส่งศพผู้ตายให้แพทย์โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา ตรวจชันสูตรพลิกศพ พบว่าผู้ตายมีบาดแผลกระสุนปืนลูกโดดทางเข้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร ที่ท้ายทอย และทางออกบริเวณแก้มซ้าย กะโหลกศีรษะพบรอยแตกเป็นรูบริเวณท้ายทอย และแอ่งฐานสมองพบโลหิตออกใต้เยื่อหุ้มสมอง และสมองฉีกขาดช้ำ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นวีโก้ สีดำ ป้ายแดงหมายเลขทะเบียน ก – 0885 อุทัยธานี มีชื่อนางสวรรค์ มารดาจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าซื้อจากบริษัทโตโยต้า ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด และยึดอาวุธปืนของกลางได้จากบ่อน้ำสาธารณะบ้านหนองตาคง ส่งไปตรวจพิสูจน์พบว่าเป็นอาวุธปืนพกประกอบขึ้นเองขนาดประมาณ .38 เป็นชนิด ขนาด ที่นายทะเบียนสามารถออกใบอนุญาตให้ได้ และใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุได้ ตรวจประวัติของจำเลยทั้งสองแล้วไม่พบข้อมูลการได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้แม้จะไม่มีประจักษ์พยานขณะจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายก็ตาม แต่พยานโจทก์ทั้งสองก็เบิกความสอดคล้องและประกอบกันถึงเหตุการณ์ตามลำดับตั้งแต่ตรวจพบเลขบัญชีที่กางเกงของผู้ตายนำไปสู่การพบนางสาวอลิสาซึ่งเป็นผู้รับเงินตามบัญชีดังกล่าวซึ่งเป็นบัญชีธนาคาร นางสาวอลิสาให้ข้อมูลสำคัญว่าผู้ตายคือนายกนกพลหรือตึ๋ง ซึ่งมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว ผู้ตายมีเพื่อนสนิทไปมาหาสู่กัน 2 คน คือนายเก่งและนายเอก นางสาวอลิสายังบอกหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ตายด้วยทำให้ตรวจพบว่ามีการติดต่อกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 นำไปสู่การจับกุมจำเลยที่ 1 ซึ่งให้การรับว่าร่วมกับจำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จำเลยที่ 1 ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของจำเลยที่ 2 และนำไปจับจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แล้วระหว่างทางหลบหนีนำอาวุธปืนดังกล่าวทิ้งบ่อน้ำสาธารณะในเขตจังหวัดนครราชสีมา จำเลยที่ 2 เขียนคำรับสารภาพด้วยลายมือชื่อของตนเองไว้ด้วย ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าพยานทั้งสองมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีเหตุต้องระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลยดังกล่าว เชื่อว่าพยานทั้งสองเบิกความไปตามความเป็นจริงซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการจึงมีน้ำหนักรับฟัง นอกจากที่โจทก์ยังมีพันตำรวจโทอนุรุทธ์ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดีมาเบิกความสนับสนุนให้คำเบิกความของพยานทั้งสองมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงยิ่งขึ้นด้วย โดยพันตำรวจโทอนุรุทธ์เบิกความว่าเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุพบศพผู้ตายและพบพยานทั้งสอง หลังจากนั้นได้ทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ บันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและถ่ายภาพประกอบไว้ จากนั้นส่งคราบโลหิตของผู้ตายไปตรวจหาดีเอ็นเอ และส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ต่อมามีการสืบสวนจนกระทั่งจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ และเป็นเบาะแสให้จับกุมจำเลยที่ 2 ได้ในเวลาต่อมาหลังจากจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ พยานเป็นผู้รับตัวจำเลยทั้งสองไว้ พร้อมบันทึกการจับกุม คำรับสารภาพ รถยนต์กระบะ 1 คัน โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยทั้งสองและอื่น ๆ ในบันทึกคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองมีรายละเอียดสอดคล้องกันว่า วันเกิดเหตุจำเลยทั้งสองและผู้ตายนั่งรถกระบะดังกล่าวมาด้วยกัน จำเลยที่ 2 เป็นคนขับผู้ตายนั่งคู่มาตอนหน้า ส่วนจำเลยที่ 1 นั่งแคปหลังเดินทางจากจังหวัดชัยนาทจะไปจังหวัดอุดรธานี ผู้ตายเป็นคนบอกทางแต่บอกผิด ๆ ถูก ๆ เกิดทะเลาะกับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ทวงเงิน 40,000 บาท ที่ผู้ตายยืมไป ผู้ตายไม่ยอมคืน ต่อมาถึงเขตตำบลหนองพวง อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา จำเลยที่ 2 จอดรถปัสสาวะ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ปัสสาวะเสร็จแล้วขึ้นรถมานั่งรอ ส่วนผู้ตายยังยืดเส้นยืดสายอยู่ข้างรถ ผู้ตายก้มตัวเข้ามาในรถเพื่อเร่งเสียงวิทยุ จำเลยที่ 2 ทวงเงินผู้ตายอีก ผู้ตายปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ใช้อาวุธปืนที่ติดตัวมายิงผู้ตายที่ศีรษะ 1 นัด ผู้ตายล้มลง จำเลยที่ 2 ลงจากรถอ้อมมาดูแล้วลากผู้ตายลงข้างทางมาไว้บริเวณที่พบศพ จากนั้นจำเลยที่ 2 ขับรถมุ่งหน้าอำเภอเมืองนครราชสีมา ระหว่างทางจอดรถให้จำเลยที่ 1 นำเสื้อชุบน้ำเช็ดคราบเลือดของผู้ตายที่ติดอยู่ภายในรถ และให้จำเลยที่ 1 นำกระดาษหนังสือพิมพ์ห่ออาวุธปืนทิ้งลงในบ่อน้ำสาธารณะ เห็นว่าพยานปากนี้เป็นพนักงานสอบสวนซึ่งไม่ปรากฏสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 2 ซึ่งจะต้องระแวงสงสัยในคำเบิกความเช่นกัน พยานเป็นผู้ติดต่อนักประดาน้ำมางมอาวุธปืนของกลางจากบ่อน้ำสาธารณะในจุดที่จำเลยทั้งสองชี้บอกซึ่งก็ได้อาวุธปืนขึ้นมา หากไม่ได้ข้อมูลจากจำเลยดังกล่าวแล้วก็ยากที่จะปฏิบัติการสำเร็จ ชั้นสอบสวนพยานแจ้งข้อหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ร่วมกันพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ จำเลยที่ 2 คงยืนยันให้การรับสารภาพเช่นเดียวชั้นชั้นจับกุม ทั้งยังนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ และให้ถ่ายภาพไว้ด้วย นอกจากนี้พยานยังให้เจ้าหน้าที่จากศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 3 เข้ามาตรวจหาคราบโลหิตภายในรถยนต์กระบะของกลาง ปรากฏว่าพบคราบโลหิตที่ยังล้างออกไม่หมดติดอยู่ที่ประตูรถด้านซ้าย ที่คอนโซล ที่เบาะ และที่พื้นรถแล้วนำคราบโลหิตไปตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอเพื่อเปรียบเทียบกับคราบโลหิตของผู้ตายที่ส่งไปตรวจก่อนหน้าแล้ว ผลการตรวจปรากฏว่ามีดีเอ็นเอตรงกับผู้ตาย ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ว่าใช้อาวุธปืนยิงศีรษะผู้ตายขณะยื่นศีรษะเข้ามาในรถเพื่อเร่งเสียงวิทยุติดรถยนต์ พยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งประกอบด้วยพยานบุคคลแวดล้อมกรณี วัตถุพยาน หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สอดคล้องเชื่อมโยงเป็นลำดับ ทั้งมีรายละเอียดเอกสารจากหน่วยงานต่าง ๆ ลำดับเหตุการณ์ไว้ทุกขั้นตอนยากที่จะปรุงแต่งขึ้นได้ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ที่อ้างว่าขณะเกิดเหตุอยู่ที่อื่นไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุก็ดี ถูกทำร้ายจนต้องรับสารภาพก็ดี ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share