แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินค่าก่อสร้างที่จำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิเบิกตามงวดจากกรมทางหลวงแผ่นดิน เป็นเพียงสิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะขอให้อายัดไว้ ฉะนั้น เจ้าหนี้ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ต้องยื่นคำขอภายในบังคับตามมาตรา 290 วรรคสี่ มิใช่กรณียึดเงินซึ่งเจ้าหนี้จะอ้างว่ายังอยู่ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 290 วรรคห้า โดยนับแต่วันที่กรมทางหลวงส่งเงินมาให้กองบังคับคดีแพ่งดังที่อ้าง
ย่อยาว
คดีนี้ สืบเนื่องมาจากศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คให้โจทก์เป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ครบกำหนดเวลาตามคำบังคับ จำเลยไม่ใช้ โจทก์ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาโจทก์แถลงต่อกองบังคับคดีแพ่งว่า จำเลยที่ ๒ มีสิทธิได้รับเงินค่าสร้างสะพานในจังหวัดภาคใต้จากกรมทางหลวงเป็นเงินประมาณสามแสนบาท ขอให้กองบังคับคดีแพ่งอายัดไว้ จำนวน ๗๗,๒๒๓.๘๖ บาท กองบังคับคดีแพ่งมีหนังสืออายัดไปยังกรมทางหลวง กรมทางหลวงได้รับหนังสืออายัดเงินดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๑๒ ต่อมาวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๓หัวหน้ากองบังคับคดีแพ่งได้มีหนังสือแจ้งให้ศาลแพ่งทราบว่ากรมทางหลวงได้นำเงินของจำเลยที่ ๒ ตามจำนวนที่อายัดส่งต่อกองบังคับคดีแพ่งแล้ว
วันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๓ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ ๒ ตามคดีของศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๑๙๕/๒๕๑๓ จำนวน ๒๑๗,๕๐๐ บาทและหมายเลขแดงที่ ๑๒๑๑/๒๕๑๓ จำนวน ๓๑๑,๒๕๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี และร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามลำดับ จนกว่าจะชำระเสร็จ ครบกำหนดเวลาตามคำบังคับจำเลยไม่ชำระ และไม่มีทรัพย์สินอย่างใดที่ผู้ร้องจะยึดได้จึงขอเฉลี่ยเงินที่โจทก์อายัดไว้
โจทก์คัดค้านว่า หนี้ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ ๒ เกิดขึ้นโดยทุจริตเพราะสมยอมกัน และจำเลยที่ ๒ ยังมีงานต่อเนื่องกับกรมทางฯซึ่งจะขอรับเงินได้ต่อไปอีกผู้ร้องชอบที่จะอายัดเงินงวดต่อ ๆ ไปได้และผู้ร้องมิได้ขอเฉลี่ยภายในสามเดือนนับแต่วันอายัด จึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ย ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
วันนัดพร้อมโจทก์และผู้ร้องรับกันว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีกองบังคับคดีแพ่งมีหนังสืออายัดไปยังกรมทางฯ เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๑๒ และกรมทางฯ ได้ส่งเงินตามหนังสืออายัดของเจ้าพนักงานกองบังคับคดีแพ่งมายังกองบังคับคดีแพ่งเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ โจทก์และผู้ร้องรับกันอีกว่าคดีแพ่งแดงที่ ๑๑๙๕/๒๕๑๓ และ ๑๒๑๑/๒๕๑๓ นั้น ผู้ร้องฟ้องคดีที่ศาลแพ่งเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ และได้ทำยอมกันที่ศาลแพ่งเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๑๓ จริงตามภาพถ่ายสัญญาประนีประนอมยอมความ และคำพิพากษาตามยอมที่ผู้ร้องยื่นมาพร้อมคำร้องขอเฉลี่ย แล้วคู่ความขอให้ศาลวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่รับกันโดยไม่สืบพยานบุคคล
ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีหนังสืออายัดเงินไปยังกรมทางหลวง เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๑๒ ผู้ร้องมาขอเฉลี่ยเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๑๓ หลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีกองบังคับคดีแพ่งมีหนังสืออายัดไปกว่าสามเดือนแล้ว ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยหนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรค ๔ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง โดยไม่จำต้องวินิจฉัยถึงเรื่องที่โจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องทำยอมโดยทุจริตและสมยอมกัน
ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรค ๕
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกาว่า เมื่อกรมทางหลวงส่งเงินมาให้กองบังคับคดีแพ่งตามที่โจทก์ขออายัด เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ จำเลยทำงานเสร็จตามงวดแล้ว มีสิทธิรับเงินจำนวนนั้น ถือว่าเป็นการยึดเงิน ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๐ วรรค ๕
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้จำเลยที่ ๒ จะทำงานเสร็จตามงวด และมีสิทธิรับเงินจำนวนนี้ก็ดี แต่กรมทางหลวงยังมิได้ชำระให้แก่จำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ มีแต่เพียงสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนนี้เท่านั้น โจทก์จึงยังไม่มีอำนาจที่จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดเงินจำนวนนี้ แต่ก็มีสิทธิที่จะขอให้อายัดเงินดังกล่าวได้ ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสืออายัดเงินดังกล่าวไปยังกรมทางหลวง และกรมทางหลวงส่งเงินดังกล่าวมายังกองบังคับคดีแพ่งนั้น จึงหาใช่การยึดเงินดังที่ผู้ร้องฎีกามาไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของผู้ร้อง