คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 620/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าของรถยนต์ป่วย บุตรของเจ้าของรถอาสาขับรถไปส่งน้อง ไปโรงเรียนแทนโดยความยินยอมของเจ้าของรถ ดังนี้ ถือ ว่าบุตรเจ้าของรถขับรถไปเพื่อกิจธุระของเจ้าของรถ เมื่อบุตรเจ้าของรถขับรถนั้นไปชนผู้อื่นโดยประมาท ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บดังนี้ เจ้าของรถต้องรับผิดร่วมกับบุตรของตนชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้บาดเจ็บ
ฟ้องของโจทก์กล่าวว่า การที่โจทก์ถูกรถของจำเลยชนนี้ ทำให้ร่างกายโจทก์ทุพลภาพสมองเสื่อม ความทรงจำและการศึกษาของโจทก์เสื่อมมาก แพทย์ลงความเห็นว่าประสาทสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง เป็นเหตุให้โจทก์หย่อนสมรรถภาพในการศึกษาและในการประกอบอาชีพในเวลาต่อไป เป็นการทำลายอาชีพและความก้าวหน้าของโจทก์ตลอดชีวิต ดังนี้เป็นการบรรยายฟ้องโดยแจ้งชัดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว
ศาลกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ 20,000 บาทโดยกำหนดให้ตามพฤติการณ์ และความร้ายแรงแห่งการละเมิด เพราะโจทก์ถูกรถจำเลยชนขาหัก ต้องรับการผ่าตัดเอาเหล็กยึดกระดูกใส่ไว้ในขา หลังจากนั้นต้องใช้ไม้ยันและมีคนพยุงอยู่ 3 – 4 เดือน โจทก์ต้องเจ็บป่วยรับทุกข์ทรมานอยู่ถึง 1 ปี นอกจากนั้นโจทก์ยัง ได้รับอันตรายเกี่ยวกับสมองอีก เพราะทำให้ปวดศรีษะอยู่เสมอ ความจำก็เสื่อมลง การศึกษาก็เลวลง โจทก์เคยหารายได้พิเศษจากการสอนหนังสือเดือนละ 500 บาท ก็ทำไม่ได้ นับว่าเป็นการสมควรแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ชนโจทก์โดยประมาทโจทก์ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นบิดาผู้แทนโดยชอบธรรม รวมเป็นเงิน ๑๒๑,๓๖๘ บาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต่อสู้ทำนองเดียวกันว่า เหตุที่ชนเพราะความประมาทของโจทก์เอง และว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถของจำเลยที่ ๑ ไปโดยพละการ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้ง ๒ รับผิดใช้ค่าเสียหายรวมเป็นเงิน ๕๔,๘๘๘.๕๐ บาท ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีอาญาศาลคดีเด็ก ฯ ได้พิพากษาว่า จำเลยที่๑ ได้ขับรถยนต์ชนโจทก์บาดเจ็บสาหัสจริง จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิด ส่วนจำเลยที่ ๒ นั้น ฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุไม่สบาย จำเลยที่ ๑ จึงอาสาขับรถยนต์ไปส่งน้องไปโรงเรียนแทนโดยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ ถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้นำรถยนต์ไปขับขี่ในวันนั้นเพื่อกิจธุระของจำเลยที่ ๒ หาใช่เอาไปโดยพละการไม่ จำเลยที่ ๒ จึงต้องร่วมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑
ส่วนข้อที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมนั้นโจทก์ได้บรรยายฟ้องแล้วว่า การที่โจทก์ถูกรถจำเลยชนนั้น ทำให้ร่างกายโจทก์ทุพลภาพสมองเสื่อม ความทรงจำและการศึกษาของโจทก์เสื่อมมาก แพทย์ลงความเห็นว่า ประสาทได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง เป็นเหตุให้โจทก์หย่อนความสามารถในการศึกษาและในการประกอบอาชีพในเวลาต่อไป เป็นการทำลายอาชีพและความก้าวหน้าของโจทก์ตลอดชีวิต คำบรรยายฟ้องเป็นการชัดแจ้งตามมาตรา ๑๗๒ ป.วิ.พ. แล้ว ส่วนที่ศาลกำหนดค่าเสียหายจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท นั้น เพราะโจทก์ถูกรถยนต์ของจำเลยชนขาหักต้องรับการผ่าตัดเอาเหล็กยึดกระดูกใส่ไว้ในขา หลังจากนั้นต้องใช้ไม้ยันและมีคนพยุงอยู่ ๓ – ๔ เดือน ต่อจากนั้นก็ใช้ไม้ยืนอีก ๓ – ๔ เดือนโจทก์ต้องเจ็บป่วยรับทุกข์ทรมานอยู่ถึง ๑ ปี นอกจากนั้นยังได้รับอันตรายเกี่ยวกับสมองอีก เพราะทำให้ปวดศรีษะอยู่เสมอ ความจำก็เสื่อมลง การศึกษาก็เลวลงโจทก์เคยหารายได้จากการสอนหนังสือเดือนละ ๕๐๐ บาท ก็ทำไม่ได้ นับว่าโจทก์ได้ รับความเสียหายแก่ร่างกายและสมอง นับว่าเป็นพฤติการณ์ร้ายแรงอยู่ เป็นการสมควรแล้ว
พิพากษายืน

Share