แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 บัญญัติให้เป็นคุณแก่ผู้ค้ำประกันในกรณีที่ผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่า ลูกหนี้มีทางที่จะชำระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากด้วยเช่นนี้ เจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ไม่ได้ดังกล่าว และโจทก์นำสืบได้ว่า โจทก์ได้สืบเสาะหาทรัพย์ที่จะเอาชำระหนี้จากลูกหนี้ที่ไหนก็ไม่ได้ เช่นนี้แล้ว ผู้ค้ำประกันย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 689
ย่อยาว
ได้ความว่า โจทก์ได้เรียกให้นางมาลีลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว แต่ไม่ได้ผล จึงต้องฟ้องจำเลยผู้ค้ำประกัน
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลทั้งสอง ให้จำเลยชำระต้นเงิน 6,335 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยที่ค้าง 748.12 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15ต่อปี ในต้นเงิน 6,335 บาทนับแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จให้แก่โจทก์
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า นางมาลีลูกหนี้มีทางที่จะชำระหนี้ได้โดยมิยาก โจทก์จะต้องเรียกร้องบังคับเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้เสียก่อนต่อเมื่อเรียกบังคับเอาจากลูกหนี้ไม่ได้ หรือได้ไม่พอแล้วโจทก์จึงจะมีอำนาจฟ้องจำเลยได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 689 บัญญัติให้เป็นคุณแก่ผู้ค้ำประกันในกรณีที่ผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้มีทางที่จะชำระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้น จะไม่เป็นการยากด้วย เจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน ในคดีนี้ จำเลยเพียงแต่กล่าวอ้างขึ้นลอย ๆ มิได้พิสูจน์ให้ประจักษ์เช่นที่อ้างแม้แต่ประการใดตรงข้ามโจทก์กลับแสดงหลักฐานว่า ได้สืบเสาะหาทรัพย์ที่จะเอาชำระหนี้จากนางมาลีลูกหนี้ที่ไหนก็ไม่ได้ ทั้งจำเลยก็ยังแถลงต่อศาลว่าจำเลยไม่ทราบว่านางมาลีมีทรัพย์สินอะไรบ้าง ดังนี้ จำเลยย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตาม มาตรา 689