คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6189/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติในมาตรา26และมาตรา37แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524เห็นได้ว่าเมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาตามมาตรา26วรรคหนึ่งแล้วถ้าผู้ให้เช่านามิได้บอกเลิกการเช่านาตามมาตรา37และผู้เช่านายังทำนาในที่นานั้นต่อไปให้ถือว่าได้มีการเช่านานั้นต่อไปอีกคราวละหกปีและการบอกเลิกการเช่านาต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของมาตรา37โดยผู้ให้เช่านาต้องบอกเลิกเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีก่อนจะครบกำหนดการเช่านาและผู้ให้เช่านาจะบอกเลิกการเช่านาได้ก็ด้วยเหตุตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา37 การเช่านาระหว่างโจทก์และจำเลยจะครบกำหนดในวันที่20ตุลาคม2532แต่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าเมื่อวันที่20กุมภาพันธ์2532การบอกเลิกการเช่านาดังกล่าวจึงเป็นการบอกเลิกก่อนครบกำหนดการเช่าเพียง8เดือนเท่านั้นและตามหนังสือบอกกล่าวก็มิได้ระบุเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่านาไปยังคชก.ตำบลตามที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา37กำหนดไว้การบอกเลิกการเช่านาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายการเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังไม่สิ้นสุดลงโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2520 จำเลยเช่าที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 13538 จากบิดาโจทก์เพื่อทำนามีกำหนด 6 ปีเมื่อครบกำหนดการเช่าในวันที่ 20 ตุลาคม 2526 จำเลยได้เช่าต่อจำเลยไม่ชำระค่าเช่าให้บิดาโจทก์ตั้งแต่ปี 2528 ถึง 2531ครั้นวันที่ 23 พฤศจิกายน 2531 บิดาโจทก์โอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยยังคงทำนาต่อ ครบกำหนดการเช่าอีก 6 ปี วันที่20 ตุลาคม 2532 โจทก์ต้องการที่ดินคืน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์2532 จึงมีหนังสือบอกเลิกการเช่าถึงจำเลยก่อนครบกำหนดการเช่าและมีหนังสือแจ้งให้ประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลบางภาษี อำเภอบางเลนทราบ จำเลยยื่นหนังสือคัดค้านการบอกเลิกการเช่า ต่อมาวันที่ 7 เมษายน 2532 ปลัดอำเภอบางเลนซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการดังกล่าว มีหนังสือแจ้งให้โจทก์และจำเลยทั้งสองฝ่ายไปตกลงกันที่อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม แต่ตกลงกันไม่ได้ ต่อมาเมื่อครบกำหนดเวลาเช่า จำเลยยังทำนาต่อ โจทก์จึงมอบหมายให้ทนายความแจ้งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่เช่า จำเลยทราบแล้วเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 1358 ตำบลบางภาษี อำเภอบางเลนจังหวัดนครปฐม และชำระค่าเช่าและค่าเสียหายแก่โจทก์รวมกันเป็นเงิน 34,166 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปและให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนและออกจากที่ดินที่เช่า
จำเลยให้การว่า เอกสารท้ายฟ้อง มิใช่หนังสือบอกเลิกการเช่านาและไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีข้อความแสดงว่าโจทก์ประสงค์จะใช้ที่นาที่ให้เช่าเพื่อประกอบเกษตรกรรมด้วยตนเองหรือเพื่อประโยชน์แห่งครอบครัวของตนตามความจำเป็นหรือเพื่อการอื่นและหนังสือดังกล่าวไม่ได้แจ้งให้จำเลยทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยแล้วแม้โจทก์จะอ้างว่าจำเลยไม่ชำระค่าเช่านาติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปีหรือมีการบอกเลิกการให้เช่านาก่อนระยะเวลาการเช่าตามกฎหมายก็ตามโจทก์จะต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 เสียก่อนโดยจะต้องให้คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลวินิจฉัยข้อพิพาทการเลิกการเช่านาเสียก่อนว่ามีเหตุสมควรบอกเลิกการเช่าได้หรือไม่ แต่คดีนี้ยังไม่มีการวินิจฉัยข้อพิพาทโดยคณะกรรมการดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ตามโฉนดเลขที่ 13538ตำบลบางภาษี อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 5,000 บาท นับแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ ได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 13538 ตำบลบางภาษี อำเภอบางเลนจังหวัดนครปฐม เนื้อที่ 25 ไร่ โจทก์ให้จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวทำนาครั้งละ 6 ปี ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 การเช่าจะครบกำหนดในวันที่ 20 ตุลาคม 2532 โจทก์มีความประสงค์ต้องการที่ดินดังกล่าวคืน ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งบอกเลิกการเช่านาถึงจำเลยเมื่อวันที่20 กุมภาพันธ์ 2532 อันเป็นเวลาก่อนครบกำหนดการเช่านาพร้อมทั้งมีหนังสือแจ้งให้ประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลภาษีทราบ ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 26 บัญญัติว่า “การเช่านาให้มีกำหนดคราวละไม่น้อยกว่าหกปี การเช่านารายใดที่ทำไว้โดยไม่มีกำหนดเวลาหรือมีแต่ต่ำกว่าหกปี ให้ถือว่าการเช่านารายนั้นมีกำหนดเวลาหกปี
เมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาตามวรรคหนึ่ง ถ้าผู้ให้เช่านามิได้บอกเลิกการให้เช่านาตามมาตรา 37 และผู้เช่านายังทำนาในที่นานั้นต่อไปให้ถือว่าได้มีการเช่านานั้นต่อไปอีกคราวละหกปี ฯลฯ” และมาตรา 37 บัญญัติว่า “เมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาตามมาตรา 26 การเช่านาไม่สิ้นสุดลง เว้นแต่ผู้ให้เช่านาประสงค์จะใช้นาที่ให้เช่าเพื่อการดังต่อไปนี้ และได้บอกเลิกการเช่านาเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
(1) ใช้เพื่อประกอบเกษตรกรรมด้วยตนเองตามความเหมาะสม
(2) ใช้เพื่อประโยชน์แห่งครอบครัวของตนตามความจำเป็น
(3) ใช้เพื่อทำประโยชน์ตามผังเมือง หรือเพื่อสาธารณะประโยชน์อย่างอื่น หรือ
(4) ใช้เพื่อประโยชน์อย่างอื่นอันสอดคล้องกับประโยชน์ส่วนรวมในทางเศรษฐกิจตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยร่วมกันกำหนด
ให้ผู้เช่านาส่งสำเนาการบอกเลิกการเช่านาตามวรรคหนึ่งพร้อมทั้งแสดงเหตุการบอกเลิกการเช่านาไปยัง คชก.ตำบล ภายในกำหนดสามสิบวันนับแต่วันที่ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่านาให้ผู้เช่านาทราบ เมื่อได้รับสำเนาหนังสือบอกเลิกการเช่านาดังกล่าวแล้วให้คชก.ตำบล พิจารณาวินิจฉัย ถ้า คชก.ตำบลเห็นว่า ผู้ให้เช่ายังไม่มีความจำเป็นรีบด่วนที่จะใช้นาตาม (1)(2)(3) หรือ (4) และการบอกเลิกการเช่านานั้นจะทำให้ผู้เช่านาเดือดร้อน คชก.ตำบลจะวินิจฉัยให้ยับยั้งการบอกเลิกการเช่านาไว้ทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นเวลาตามที่เห็นสมควรไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินสองปีก็ได้”
ตามบทบัญญัติในมาตรา 26 และมาตรา 37 ดังกล่าว เห็นได้ว่าเมื่อสิ้นระยะเวลาการเช่านาตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง แล้ว ถ้าผู้ให้เช่านามิได้บอกเลิกการเช่านาตามมาตรา 37 และผู้เช่านายังทำนาในที่นานั้นต่อไป ให้ถือว่าได้มีการเช่านานั้นต่อไปอีกคราวละหกปีและการบอกเลิกการเช่านาต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติของมาตรา 37 ดังกล่าวข้างต้น กล่าวโดยเฉพาะก็คือผู้ให้เช่านาต้องบอกเลิกเป็นหนังสือให้ผู้เช่านาทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีก่อนจะครบกำหนดการเช่าและผู้ให้เช่านาจะบอกเลิกการเช่านาได้ก็ด้วยเหตุตามที่บัญญัติไว้ตามมาตรา 37 แต่คดีนี้ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์และข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบว่าการเช่านาระหว่างโจทก์และจำเลยจะครบกำหนดในวันที่ 20 ตุลาคม 2532 แต่โจทก์มีหนังสือบอกเลิกการเช่าเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2532การบอกเลิกการเช่านาดังกล่าวจึงเป็นการบอกเลิกก่อนครบกำหนดการเช่าเพียง 8 เดือน เท่านั้น และตามหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งตรงกับสำเนาภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2ก็มิได้ระบุเหตุแห่งการบอกเลิกการเช่านาไปยัง คชก.ตำบล ตามที่มาตรา 37 กำหนดไว้ การบอกเลิกการเช่านาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังไม่สิ้นสุดลง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
พิพากษายืน

Share