แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วเมื่อโจทก์ฎีกาจำเลยยื่นคำแก้ฎีกาเฉพาะประเด็นว่าจำเลยมิได้เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทแต่มิได้แก้ฎีกาข้อเท็จจริงในเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาทจึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งมีใบจอง(น.ส.2)ที่รัฐได้ยอมให้ผู้จองเข้าครอบครองทำประโยชน์ชั่วคราวจึงเป็นที่ดินมือเปล่าที่ผู้จองคงมีสิทธิครอบครองเท่านั้นดังนั้นการโอนสิทธิการครอบครองให้แก่กันย่อมทำได้ด้วยการส่งมอบที่ดินที่ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1378เมื่อจำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแม้จำเลยจะยังมิได้จดทะเบียนการโอนให้แก่โจทก์ก็ตาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามใบจอง(น.ส.2) เลขที่ 380 ตำบลจอหอ อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 14 ไร่เศษ โดยซื้อมาจากจำเลยเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2533 จำเลยห้ามโจทก์เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทและขอใบจองคืนเพื่อจะนำไปเป็นหลักฐานขอออกโฉนดที่ดินแล้วขายแก่ผู้อื่น โจทก์ไม่คืนใบจองให้ จำเลยจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าใบจองหายไป เพื่อจะนำไปหลักฐานขอออกใบแทนใบจองและขอออกโฉนดที่ดินต่อไป การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิและรบกวนสิทธิของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยรบกวนสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ และให้เพิกถอนใบแทนใบจองที่ดินพิพาท
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้จับจองที่ดินพิพาทตั้งแต่ พ.ศ. 2519 จำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทด้วยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาจำเลยไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์เป็นบุตรนางลอย ฤทธิ์จอหอ และนายหวาน แซ่ลิ้ม เมื่อนายหวานถึงแก่กรรมแล้วนางลอยได้แต่งงานกับจำเลยโจทก์เห็นว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นของนางลอยและโจทก์ไม่พอใจที่ นางลอยยอมให้ใช้ชื่อจำเลยในการจับจองที่ดินพิพาท โจทก์ฟ้องเรียกเอาที่ดินพิพาทเพราะกลัวว่าจำเลยจะโอนให้แก่บุตรของจำเลยที่เกิดจากนางลอย จำเลยประสงค์จะครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเพื่อเลี้ยงบุตร และหากจะจัดแบ่งที่ดินพิพาทก็จะแบ่งให้โจทก์ด้วยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้เพิกถอนใบจองที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นสามีของนางลอย ฤทธิ์จอหอ โจทก์เป็นบุตรของนางลอย กับนายหวานแซ่ลิ้ม ซึ่งนายหวาน ได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามใบจอง (น.ส.2) เลขที่ 380 ตั้งอยู่ที่ตำบลจอหออำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ตามเอกสารหมาย จ.3ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครอง เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2533จำเลยไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนครราชสีมาว่าใบจองสำหรับที่ดินพิพาทสูญหายไป วันที่ 7 กันยายน2533 จำเลยขอออกใบแทนใบจองฉบับเดิมที่อ้างว่าสูญหาย วันที่16 ตุลาคม 2533 ทางราชการได้ออกใบแทนใบจองให้แก่จำเลยตามเอกสารหมาย ล.5
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่ ประเด็นนี้เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาคดีโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วเมื่อโจทก์ฎีกา จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาเฉพาะประเด็นว่าจำเลยมิได้เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาท แต่มิได้แก้ฎีกาข้อเท็จจริงในเรื่องการซื้อขายที่ดินพิพาท จึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าจำเลยได้ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว
คงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเพียงว่า โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โดยจำเลยแสดงเจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วหรือไม่ เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งมีใบจอง (น.ส.2) ที่รัฐได้ยอมให้ผู้จองเข้าครอบครองทำประโยชน์ชั่วคราว จึงเป็นที่ดินมือเปล่าที่ผู้จองคงมีสิทธิครอบครองเท่านั้น ดังนั้นการโอนสิทธิการครอบครองให้แก่กันย่อมทำได้ด้วยการส่งมอบที่ดินที่ครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1378 เมื่อฟังว่าโจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วจะฟังว่าจำเลยต้องจดทะเบียนการโอนให้โจทก์เสียก่อนจึงจะถือว่าจำเลยได้มอบการครอบครองให้แก่โจทก์หาได้ไม่ เพราะที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เพียงแต่ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่กันก็เป็นการเพียงพอแล้ว ฉะนั้นเมื่อจำเลยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และโจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า แม้จำเลยได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ ยังไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น