แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การชี้สองสถานนั้นเป็นดุลพินิจของศาล ถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าการชี้สองสถานจะทำให้การพิจารณาคดีง่ายเข้า ก็จะกำหนดให้มีการชี้สองสถาน แต่ถึงหากจะมีการชี้สองสถานไป ก็ไม่ทำให้การพิจารณาง่ายยิ่งขึ้นไปแต่ประการใด ก็ไม่จำเป็นต้องมีการชี้สองสถานและทำแผนที่พิพาท
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย2,000 บาทแก่โจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่พิพาทของโจทก์อีกต่อไป จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยมิได้ทำการชี้สองสถาน และสั่งให้ทำแผนที่ที่พิพาทนั้นเห็นว่า การชี้สองสถานนั้นเป็นดุลพินิจของศาล ถ้าศาลชั้นต้นเห็นว่าการชี้สองสถานจะทำให้การพิจารณาคดีง่ายเข้าก็จะกำหนดให้มีการชี้สองสถานแต่ถึงหากจะมีการชี้สองสถานไป ก็ไม่ทำให้การพิจารณาง่ายยิ่งขึ้นไปแต่ประการใด ก็ไม่จำเป็นต้องมีการชี้สองสถาน คดีนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่มีประเด็นยุ่งยาก จึงให้งดการชี้สองสถาน เป็นการใช้ดุลพินิจที่ชอบแล้วทั้งไม่มีบทบัญญัติกฎหมายใดบังคับให้จำต้องมีการชี้สองสถานทุกคดีไปด้วยสำหรับการทำแผนที่พิพาทก็เช่นกัน ไม่มีบทกฎหมายบังคับให้จำต้องทำแผนที่พิพาท แผนที่พิพาทนั้นเพียงเพื่อให้สะดวกแก่การพิจารณาและการบังคับคดีเท่านั้น จึงถือไม่ได้ว่าการที่ศาลชั้นต้นไม่สั่งให้ทำแผนที่ที่พิพาทเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกรณีนี้ถ้าจำเลยเห็นว่าสมควรจะทำแผนที่ที่พิพาทเพื่อประโยชน์ของจำเลย ก็ย่อมมีโอกาสขอให้ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำแผนที่ที่พิพาทได้ แต่จำเลยก็เพิกเฉยปล่อยให้ล่วงเลยมา และเพิ่งยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีชอบแล้ว”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 400 บาทแทนโจทก์