คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6178/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมที่ทำการของโจทก์อยู่ที่กรุงเทพมหานครส่วนจำเลยเป็นข้าราชการสังกัดของโจทก์โดยเริ่มรับราชการครั้งแรกที่กรุงเทพมหานครเช่นกันต่อมาโจทก์ย้ายที่ทำการไปอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีโดยจำเลยต้องย้ายติดตามไปปฎิบัติราชการประจำที่ที่ทำการใหม่ของโจทก์ด้วยมีผลเท่ากับจำเลยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำที่ทำการของโจทก์ในต่างท้องที่และเมื่อการที่จำเลยเช่าบ้านอยู่นอกเขตท้องที่ทำการแห่งใหม่ของโจทก์ไม่อยู่ในข้อยกเว้นของมาตรา7วรรคหนึ่งหรือมาตราอื่นใดแห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการฯที่จะเป็นเหตุให้จำเลยไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านจำเลยจึงมีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขอเบิกค่าเช่าบ้านเลขที่ 29/6ซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 ถนนจรัญสนิทวงศ์ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานครจากโจทก์ไปเป็นเงินรวม 37,155 บาท ซึ่งการรับเงินดังกล่าวไปนั้นจำเลยไม่มีสิทธิจะได้รับ เนื่องจากจำเลยเริ่มรับราชการครั้งแรกที่หน่วยงานอื่นในเขตกรุงเทพมหานคร ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินค่าเช่าบ้านที่เบิกไปโดยไม่มีสิทธิจำนวน 37,155 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระถึงวันฟ้องจำนวน 15,557.727 บาท รวมเป็นต้นเงินดอกเบี้ย 52,712,272 บาท ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 52,712,727 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่ต้องคืนเงินค่าเช่าบ้านให้โจทก์เพราะจำเลยมีสิทธิได้รับเงินค่าเช่าบ้านตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527 ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดชี้สองสถานจำเลยแถลงสละข้อต่อสู้ในประเด็นที่ว่าฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ และรับว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง แล้วโจทก์กับจำเลยต่างแถลงไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 37,155 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่าเดิมจำเลยรับราชการที่กรมวิเทศสหการ โดยเริ่มรับราชการครั้งแรกที่หน่วยงานในท้องที่กรุงเทพมหานคร และได้โอนมารับราชการที่มหาวิทยาลัยโจทก์ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2526 ซึ่งขณะนั้นที่ทำการของโจทก์ตั้งอยู่ที่ทบวงมหาวิทยาลัย เขตพญาไทกรุงเทพมหานคร ต่อมาได้ย้ายที่ทำการไปอยู่ที่ตำบลบางพูดอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ครั้นเมื่อระหว่างตั้งแต่วันที่1 กรกฎาคม 2528 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2530 จำเลยได้เบิกเงินค่าเช่าบ้านเลขที่ 29/6 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 13 ถนนจรัญสนิทวงศ์เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร ไปจากโจทก์เป็นเงินรวม 37,155 บาทมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า จำเลยมีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการพ.ศ. 2527 หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 16 และมาตรา 17 ข้าราชการผู้ใดได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่ มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ ทั้งนี้ เว้นแต่ผู้นั้น (1) ทางราชการได้จัดที่พักอาศัยให้อยู่แล้ว (2) มีเคหสถานของตนเองหรือของสามีหรือภริยาที่พออาศัยอยู่ร่วมกันได้ในท้องที่ที่ไปประจำสำนักงานใหม่(3) ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานใหม่ในท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรกหรือท้องที่ที่กลับเข้ารับราชการใหม่(4) เป็นข้าราชการวิสามัญ ซึ่งการที่โจทก์ย้ายสำนักงานหรือที่ทำการจากท้องที่ในกรุงเทพมหานครไปอยู่ในท้องที่จังหวัดนนทบุรีโดยจำเลยต้องย้ายติดตามไปปฎิบัติราชการประจำที่สำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ มีผลเท่ากับจำเลยได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ในต่างท้องที่ และการที่จำเลยเช่าบ้านอยู่นอกเขตท้องที่สำนักงานแห่งใหม่ของโจทก์ ไม่อยู่ในข้อยกเว้นของมาตรา7 วรรคหนึ่ง (1) ถึง (4) หรือมาตราอื่นใดแห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวอันจะเป็นเหตุให้จำเลยไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการจึงเห็นว่าจำเลยมีสิทธิเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. 2527 ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้ฟังขึ้น และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาอื่นอีก”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง

Share