คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4497/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็น ผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามสัญญา การที่โจทก์นำสัญญาดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองแม้เป็นการฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญารับผิดรับใช้ซึ่งเป็นหนี้ที่มีกำหนดจำนวนแน่นอน มิได้ฟ้องจะให้รับผิดในมูลหนี้ละเมิด แต่คำฟ้องของโจทก์มุ่งเน้นถึงการเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้อันมีมูลฐานมาจากการที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์เป็นข้อสำคัญ ดังนั้นโจทก์จะต้องบรรยายในคำฟ้องโดยกล่าวแสดงให้แจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไปเมื่อใด เงินที่ยักยอกเป็นจำนวนเท่าใด สินค้าที่ยักยอกเป็นสินค้าประเภทใด จำนวนเท่าใด และราคาเท่าใด หรือมิฉะนั้นโจทก์ก็ต้องมีเอกสารหรือหลักฐานที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินหรือรายการสินค้าที่อ้างว่าจำเลยที่ 1ยักยอกไปแนบมาท้ายฟ้องด้วย เมื่อโจทก์มิได้กล่าวแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหากับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องที่จำเลยที่ 1 ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไป คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31 เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๒๓๒,๖๑๑ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงินจำนวน ๒๐๒,๓๑๔ บาท นับแต่วันฟ้องแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างของโจทก์จริง แต่จำเลยที่๑ ไม่เคยยักยอกหรือทุจริตต่อหน้าที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นเงินจำนวน ๒๐๒,๓๑๔ บาท จำเลยที่ ๒ ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่โจทก์โดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์จริง เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้อง หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ และคำฟ้องของโจทก์ก็เคลือบคลุม โดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์เป็นราคาถึง ๒๐๒,๓๑๔ บาท แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่า เงินและสินค้าที่ยักยอกนั้นมี รายละเอียดเป็นอย่างไร ทั้งไม่ได้แนบเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับเงินและสินค้าดังกล่าวมาในฟ้องด้วย ทำให้จำเลยไม่อาจ เข้าใจในคำฟ้องและต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามประเด็นแห่งคดีที่โจทก์อุทธรณ์ว่า คำฟ้องของโจทก์ เคลือบคลุมหรือไม่ โดยโจทก์อ้างด้วยว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญารับผิดซึ่งเป็นหนี้ที่มีกำหนดจำนวนแน่นอนมิได้ฟ้องให้จำเลยทั้งสองรับผิดในมูลหนี้ละเมิด เพราะมูลหนี้ละเมิดระงับไปแล้วนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนที่เป็นข้ออ้างและข้อหาว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน ๒๐๒,๓๑๔ บาท และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ ได้ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแทนจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้ขอเข้าทำสัญญารับผิดรับใช้กับโจทก์ โดยตกลงผ่อนชำระ เป็นรายเดือน เมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามสัญญา จำเลยที่ ๒ ผิดนัดตลอดมา จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชำระค่าเสียหายจำนวน ๒๐๒,๓๑๔ บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และโจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมุ่งเน้นถึงการเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้อันมีมูลฐานมาจากการที่จำเลยที่ ๑ ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์เป็นข้อสำคัญ ซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายในคำฟ้องโดยกล่าวแสดงให้ แจ้งชัดว่า จำเลยที่ ๑ ได้ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไปเมื่อใด เงินที่ยักยอกเป็นจำนวนเท่าใด สินค้าที่ยักยอกเป็นสินค้าประเภทใด จำนวนเท่าใด และราคาเท่าใด หรือมิฉะนั้นโจทก์ก็จะต้องมีเอกสารหรือหลักฐานที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับ จำนวนเงินหรือรายการสินค้าที่อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ยักยอกไปแนบมาท้ายฟ้องด้วย แม้ตามคำฟ้องของโจทก์จะเรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดตามสัญญารับผิดรับใช้ตามเอกสารท้ายฟ้องด้วยก็ตาม แต่หนี้ตามสัญญารับผิดรับใช้ก็มีมูลฐานมาจากที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ย่อมตกเป็นข้อต่อสู้ถึงการมีอยู่ จำนวน และ ความสมบูรณ์แห่งหนี้ดังกล่าวได้ เมื่อโจทก์มิได้กล่าวแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหากับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในเรื่องจำเลยที่ ๑ ยักยอกเงินและสินค้าของโจทก์ไป คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓๑ เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share