แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้เป็นสัญญาสองฝ่าย เมื่อตามสัญญากู้ไม่มีเงื่อนไขให้จำเลยคิดดอกเบี้ยจากโจทก์ได้เกินกว่าที่ตกลงกันไว้ แม้จะมีประกาศกระทรวงการคลังและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่จำเลยจะเรียกเก็บได้เกินกว่าที่โจทก์จำเลยตกลงกันไว้ แต่จำเลยจะเรียกเก็บดอกเบี้ยตามอัตราที่เปลี่ยนแปลงใหม่โดยโจทก์ไม่ตกลงยินยอมด้วยหาได้ไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยผิดไป 1 วัน คำเบิกความของช. ไม่ควรรับฟังและจำนวนวันที่คำนวณดอกเบี้ยเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้ได้เอง แต่ไม่ปรากฏรายละเอียดว่าที่ถูกต้องควรคำนวณอย่างไร เป็นดอกเบี้ยเท่าใด และคำขอ ช.ไม่ควรรับฟังอย่างไรเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2522 โจทก์กู้เงินจำเลยจำนวน 160,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ได้จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกัน โจทก์ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้จำเลยตลอดมา ชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์2530 เป็นเงิน 14,817 บาท คงค้างชำระเงินต้น 34,413.38 บาทและดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2530ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2530 โจทก์ติดต่อขอชำระหนี้เงินกู้และไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยไม่ยอมรับไถ่ถอน ขอให้บังคับจำเลยรับไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทโดยให้รับเงินจากโจทก์ 34,413.38 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์2530 จนถึงวันไถ่ถอน และให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินพิพาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ขณะโจทก์ทำสัญญากู้เงินตามฟ้องยังไม่มีกฎหมายใดให้จำเลยเรียกเก็บดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีได้ต่อมามีกฎหมายให้สถาบันการเงินเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จำเลยซึ่งดำเนินธุรกิจเงินทุนจึงเรียกดอกเบี้ยจากโจทก์ในอัตราที่ไม่เกินประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย โจทก์ได้รับแจ้งการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยแล้วไม่คัดค้าน และได้เสียดอกเบี้ยให้จำเลยตลอดมา เมื่อครบกำหนดโจทก์ไม่สามารถชำระหนี้ทั้งหมดแก่จำเลย จนถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2530 โจทก์ยังคงค้างชำระเงินต้นจำนวน 126,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2530 โจทก์ต้องชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวแก่จำเลย จำเลยจึงจะจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยรับไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทพร้อมกับรับชำระเงินจากโจทก์ 34,413.38 บาท และดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2530 จนถึงวันไถ่ถอน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากโจทก์เกินกว่าอัตราร้อยละ15 ต่อปีหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญากู้โจทก์จำเลยตกลงคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ไม่มีเงื่อนไขให้จำเลยคิดดอกเบี้ยจากโจทก์ได้เกินกว่าที่ตกลงกันไว้ สัญญากู้เป็นสัญญาสองฝ่าย แม้จะมีประกาศกระทรวงการคลังและประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่จำเลยจะเรียกเก็บได้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปีแต่จำเลยจะเรียกเก็บดอกเบี้ยตามอัตราที่เปลี่ยนแปลงใหม่โดยโจทก์ไม่ตกลงยินยอมด้วยหาได้ไม่
สำหรับข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยผิดไป 1 วันคำเบิกความของนายเชิดชัย เสริมดำรงศักดิ์ ไม่ควรรับฟัง และจำนวนวันที่คำนวณดอกเบี้ยเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลรับรู้ได้เอง นั้นไม่ปรากฏรายละเอียดว่าที่ถูกต้องควรคำนวณอย่างไร เป็นดอกเบี้ยเท่าใดและคำของนายเชิดชัย ไม่ควรรับฟังอย่างไร เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.