คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6166/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะแต่พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์ในการใช้ทางพิพาทจำเลยอุทธรณ์โจทก์มิได้อุทธรณ์แต่กล่าวแก้ในคำแก้อุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะดังนั้นประเด็นเรื่องทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่จึงยังไม่เป็นยุติชอบที่ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยได้เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะโจทก์ก็ย่อมฎีกาได้ ทางพิพาทมีสภาพเป็นคันดินกว้าง1.50เมตรยาวเพียง160เมตรและเป็นทางตันอยู่ในแนวเขตโฉนดที่ดินของจำเลยการที่โจทก์กับญาติหรือบุคคลอื่นใช้ทางพิพาทเข้าออกสู่ทางสาธารณะเป็นเรื่องความเอื้อเฟื้อถ้อยทีถ้อยอาศัยของชาวชนบทหาใช่เป็นการสละสิทธิทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะไม่การที่จำเลยลงชื่อในบันทึกตามคำบอกหรือคำแนะนำของกำนันยอมรับว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะไม่เป็นผลให้ทางพิพาทกลับเป็นทางสาธารณะและไม่เป็นการสละสิทธิให้เป็นทางสาธารณะ บันทึกที่จำเลยลงชื่อยอมรับทางพิพาทเป็นทางสาธารณะจะไม่กีดขวางโจทก์และราษฎรอีก4ครัวเรือนในการใช้เส้นทางร่วมกันเป็นเพียงข้อเท็จจริงประกอบที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยก็ทราบดีว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะเท่านั้นมิใช่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นสิทธิบังคับให้จำเลยเปิดทางพิพาทและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่หาได้มีประเด็นเรื่องผลบังคับตามข้อตกลงในบันทึกไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะยกประเด็นข้อตกลงในบันทึกขึ้นวินิจฉัยให้ก็เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2532 จำเลยซึ่งมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ได้ปิดทางสาธารณะที่โจทก์จำเป็นต้องนำรถยนต์เข้าออกบ้านของโจทก์เป็นประจำทุกวัน โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถนำรถยนต์บรรทุกมะพร้าวไปส่งโรงงานทำกะทิได้ ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางสาธารณะและใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ทางตามฟ้องมิใช่ทางสาธารณะ แต่อยู่ในเขตโฉนดที่ดินซึ่งจำเลยกับพวกรวม 8 คน ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน จำเลยมิได้ปิดทางดังกล่าว จำเลยและเจ้าของรวมไม่เคยตกลงยินยอมให้ทางดังกล่าวเป็นทางสาธารณะ จำเลยลงชื่อในบันทึกเพียงคนเดียวด้วยสำคัญผิดว่าทางราชการทำทางและกำหนดให้เป็นทางสาธารณะ ความจริงโจทก์ทำทางขึ้นเอง โจทก์ไม่เสียหายตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์ในการใช้ทางพิพาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟ้องข้อเท็จจริงแล้ววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาจำเลยว่า ประเด็นเรื่องที่พิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่นั้นเป็นอันยุติแล้วตั้งแต่ศาลชั้นต้นหรือไม่ ปรากฎว่าโจทก์ฟ้องอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ แต่พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โดยห้ามจำเลยขัดขวางโจทก์ในการใช้อุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ดังนั้นประเด็นเรื่องนี้จึงยังไม่ยุติ ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ โจทก์ก็ย่อมฎีกาในประเด็นเรื่องนี้ได้
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่โจทก์กล่าวอ้างว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะเดิมเป็นคูสวนนายมณเฑียรพยานโจทก์ขุดสวนเพื่อใช้น้ำและนำดินที่ขุดขึ้นปรับแนวคูสวนฝั่งที่ติดที่ดินจำเลยต่อมาโจทก์นำดินลูกรังมาถมเป็นทางพิพาท และนำรถยนต์ผ่านเข้าออกสู่ถนนสาธารณะเป็นเวลานานกว่า 10 ปี แล้ว แต่ข้อเท็จจริงกลับรับฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกับว่า ทางพิพาทมีสภาพเป็นคันดินกว้าง 1.50 เมตร ยาวเพียง 160 เมตร และเป็นทางตันมีต้นไทรใหญ่ขวางอยู่ปลายทางและนายสมชัยพยานโจทก์ผู้ทำแผนที่พิพาทก็เบิกความยืนยันว่า โจทก์จำเลยนำชี้ทำแผนที่พิพาทโดยเจ้าของที่ดินข้างเคียงกับผู้มีอำนาจดูแลทางสาธารณะมาระวังแนวเขตรับรองความถูกต้องของแผนที่พิพาทซึ่งปรากฎทางพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย และการที่โจทก์กับญาติหรือบุคคลอื่นอีก 2 – 3 ครัวเรือนใช้ทางพิพาทผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะนั้นก็เป็นเรื่องความเอื้อเฟื้อถ้อยทีถ้อยอาศัยของชาวชนบทหาใช่เป็นการสละสิทธิทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะไม่นอกจากนี้การที่จำเลยลงชื่อในบันทึกเอกสารหมาย จ.3 ยอมรับว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จะไม่ขัดขวางโจทก์และราษฎรอีก4 ครัวเรือนในการใช้ทางร่วมกันนั้น ก็ไม่เป็นผลให้ทางพิพาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยกลับเป็นทางสาธารณะ และไม่เป็นการสละสิทธิให้เป็นทางสาธารณะเช่นเดียวกันดังจะเห็นได้จากการที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าที่บันทึกเป็นทางสาธารณะก็เป็นไปตามคำบอกหรือคำแนะนำของนายแสวงซึ่งเป็นกำนันทั้งต่อมาเมื่อทราบว่ามิใช่ทางสาธารณะแล้ว จำเลยก็ได้หวงกันปิดกั้นมิให้โจทก์กับบุคคลอื่นใช้ทางพิพาทต่อไป ดังนั้นข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ จำเลยย่อมมีสิทธิปิดกั้นมิให้โจทก์เข้าเกี่ยวข้องได้ โจทก์จึงหามีสิทธิขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทได้ไม่
ส่วนปัญหาตามฎีกาโจทก์ที่ขอให้ห้ามจำเลยขัดขวางในการใช้ทางพิพาทตามบันทึกข้อตกลงในเอกสารหมาย จ.3 เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทโดยโจทก์อ้างว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ส่วนที่อ้างถึงบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.3 เป็นเพียงข้อเท็จจริงประกอบที่แสดงให้เห็นว่า จำเลยก็ทราบดีว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะเท่านั้น มิใช่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นสิทธิบังคับให้จำเลยเปิดทางพิพาทด้วย และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะหรือไม่หาได้มีประเด็นเรื่องผลบังคับตามข้อตกลงในบันทึกเอกสารหมายจ.3 ไม่ ดังนี้ แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะยกประเด็นข้อตกลงในบันทึกเอกสารหมาย จ.3 ขึ้นวินิจฉัยให้ก็ตาม ย่อมเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกฟ้องนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาในข้อนี้ของโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share