คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6152/2561

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะมิได้บรรยายฟ้องว่า น. เห็นจำเลยและรับเงินจากจำเลยในการส่งข้าวสาร วันที่ 12 สิงหาคม 2558 แต่ศาลฎีกาสามารถรับฟังข้อเท็จจริงของการกระทำผิดในวันดังกล่าวประกอบกับข้อเท็จจริงในการกระทำความผิดของวันที่ 11 กรกฎาคม 2558 ตามฟ้องคดีนี้ได้ เพราะโจทก์ได้นำสืบไว้ในคดีนี้แล้ว ซึ่งสามารถเห็นได้ถึงแผนประทุษกรรมของคนร้าย คือ วิธีการและขั้นตอนในการกระทำความผิดซึ่งซ้ำๆ กัน อันเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนจับกุมคนร้ายพวกของจำเลยได้ ทั้งข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้เป็นเพียงผู้รับจ้างขนถ่ายข้าวสาร แต่เป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระทำความผิดโดยร่วมกับ ช. และพวกคนร้าย แบ่งหน้าที่กันทำโดยจำเลยทำหน้าที่ช่วยขนย้ายถ่ายเทข้าวสารที่พวกจำเลยใช้กลอุบายลักมาเพื่อให้พ้นการติดตามจับกุมของผู้เสียหายเพื่อเอาไว้ซึ่งข้าวสารนั้น อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนประทุษกรรมนั่นเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 92, 335, 336 ทวิ กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 211,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 211,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2558 มีคนร้ายหลายคนร่วมกันกระทำความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทำด้วยการใช้อุบายติดต่อขอซื้อข้าวสารจากบริษัทตังชัย จำกัด ผู้เสียหาย จำนวน 150 กระสอบ ในการส่งสินค้า ให้แบ่งบรรทุกรถบรรทุกหกล้อจำนวน 140 กระสอบ และบรรทุกรถกระบะ 10 กระสอบ นัดหมายให้ส่งข้าวสารในวันรุ่งขึ้น เวลาประมาณ 9.00 นาฬิกา ซึ่งเป็นวันเวลาเกิดเหตุ โดยให้ส่งที่บ้านซึ่งคนร้ายติดต่อขอเช่าไว้อันเป็นสถานที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายนำข้าวสารไปส่งตามกำหนดนัด โดยคนร้ายใช้คนงานของตนเองขนข้าวลงจากรถบรรทุกหกล้อ จำนวน 140 กระสอบ ไปเก็บไว้ในบ้านเช่าดังกล่าว แล้วคนร้ายให้นำข้าวสารที่เหลือ 10 กระสอบที่อยู่บนรถกระบะที่คนร้ายให้แยกไว้ ไปส่งที่ตลาดเอกเซ็นเตอร์ พร้อมกับให้ไปรับเงินค่าข้าวสารทั้งหมดที่นั่น แต่เมื่อไปถึงที่นัดหมายกลับไม่พบผู้ใดรออยู่ และติดต่อกับคนร้ายไม่ได้ รวมถึงเมื่อกลับไปตรวจที่บ้านเช่าสถานที่เกิดเหตุเวลา 13.45 นาฬิกา วันเดียวกัน ปรากฏว่าข้าวสาร 140 กระสอบ ถูกขนย้ายไปหมดแล้ว การกระทำของคนร้ายเป็นการร่วมกันใช้กลอุบายตั้งแต่ต้น จนกระทั่งลักทรัพย์สำเร็จ ผู้เสียหายจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ หลังเกิดเหตุนายชัยยันต์ ถูกจับกุมได้ ในชั้นสอบสวนให้การรับสารภาพว่าเป็นหนึ่งในคนร้ายที่ร่วมกันลักเอาข้าวสารของผู้เสียหายไป ส่วนจำเลยเข้ามอบตัวภายหลังจากทราบว่าถูกออกหมายจับระบุว่าเป็นหนึ่งในคนร้าย จึงถูกนำตัวมาดำเนินคดีนี้ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายชัยยันต์กับพวกโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ใช้อุบายลักทรัพย์ข้าวสารของผู้เสียหายด้วยการใช้กลอุบายและต้องใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนตามฟ้องโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์มีนายเทียนทองและนายไนยชน เบิกความยืนยันการส่งข้าวสารเวลากลางวัน เห็นจำเลยเป็นผู้รับข้าวสารจากพยานโจทก์ทั้งสอง โดยนายเทียนทองพบจำเลยในการส่งข้าวสารและรับเงินจากจำเลยทั้งวันที่ 11 กรกฎาคม 2558 ตามฟ้อง กับวันที่ 12 สิงหาคม 2558 (ซึ่งไม่ได้บรรยายฟ้องคดีนี้) ส่วนนายไนยชน เห็นจำเลยและรับเงินจากจำเลยในการส่งข้าวสารวันเดียวคือวันที่ 12 สิงหาคม 2558 (ซึ่งไม่ได้บรรยายฟ้องในคดีนี้) แต่ศาลฎีกาสามารถรับฟังข้อเท็จจริงของการกระทำผิดในวันที่ 12 สิงหาคม 2558 (ซึ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องในคดีนี้) ประกอบกับข้อเท็จจริงในการกระทำความผิดของวันที่ 11 กรกฎาคม 2558 ตามฟ้องคดีนี้ได้ เพราะโจทก์ได้นำสืบไว้ในคดีนี้แล้ว ซึ่งสามารถเห็นได้ถึงแผนประทุษกรรมของคนร้าย คือ วิธีการ ขั้นตอนในการกระทำความผิดซึ่งซ้ำๆ กัน อันเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจวางแผนให้นายเทียนทอง และนายไนยชน แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจทราบ หากคนร้ายว่าจ้างให้ไปขนถ่ายข้าวสารอีก ทำให้เจ้าพนักงานตำรวจสามารถจับกุมคนร้ายพวกของจำเลยได้ และยิ่งไปกว่านั้นได้ความจากทางนำสืบว่า นายเทียนทองและนายไนยชนได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนก่อนจำเลยเข้ามอบตัว ซึ่งได้ให้การถึงอายุรูปพรรณของจำเลยได้ถูกต้อง พยานโจทก์ทั้งสองยังได้ชี้ภาพจำเลยตามภาพถ่ายการชี้ภาพผู้ต้องหา ซึ่งแสดงว่านายเทียนทองและนายไนยชน จดจำจำเลยได้อย่างแน่นอน ขณะเดียวกันจำเลยไม่สามารถถามค้านทำลายน้ำหนักเรื่องจำเลยเป็นผู้รับข้าวสารและจ่ายเงินให้แก่พยานโจทก์ทั้งสองปากได้ คงอ้างลอย ๆ แต่เพียงว่าไม่ได้จ่ายเงินให้นายเทียนทองและนายไนยชนเท่านั้น พยานโจทก์ทั้งสองปากไม่รู้จักจำเลยมาก่อน และตามทางนำสืบก็ไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะให้ฟังว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวแกล้งแต่งเรื่องเพื่อให้ร้ายจำเลย จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่รับฟังข้อเท็จจริงในส่วนนี้ ทั้งเป็นข้อเท็จจริงสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้เป็นเพียงผู้รับจ้างขนถ่ายข้าวสารดังที่จำเลยต่อสู้ แต่เป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระทำความผิดโดยร่วมกับนายชัยยันต์กับพวกคนร้าย แบ่งหน้าที่กันทำโดยจำเลยทำหน้าที่ช่วยขนย้ายถ่ายเทข้าวสารที่พวกจำเลยใช้กลอุบายลักมาเพื่อให้พ้นการติดตามจับกุมของผู้เสียหาย เพื่อเอาไว้ซึ่งข้าวสารนั้น อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนประทุษกรรมนั่นเอง เพราะหากจำเลยเป็นเพียงผู้รับจ้างขนถ่ายข้าวสารให้แก่นายชัยยันต์ ก็ต้องไม่ควรมีบทบาทเป็นผู้รับมอบข้าวสารที่ร้านข้าวสาร และไม่ควรต้องจ่ายเงินค่าจ้างขนถ่ายข้าวสารให้แก่นายเทียนทองและนายไนยชน ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของผู้รับจ้างขนถ่ายข้าวสาร ส่วนที่นายวุฒิโรจน์เบิกความว่าขับรถกระบะมารอขนถ่ายข้าวสารที่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าเตาปูนซึ่งขณะนั้นยังสร้างไม่เสร็จ และพบจำเลย โดยเบิกความว่ามีรถกระบะอีก 2 คัน ตามมาจอดบริเวณเดียวกัน และจำเลยมาขนถ่ายข้าวสารจากรถกระบะ 2 คันดังกล่าวไปขึ้นรถกระบะของจำเลยด้วย รวมเป็นจำเลยมาขนถ่ายข้าวสารวันนั้น 3 เที่ยว ก็ไม่ปรากฏว่านายวุฒิโรจน์เบิกความว่าผู้ขับรถกระบะ 2 คันดังกล่าวคือนายเทียนทองกับนายไนยชน สถานที่ที่นายเทียนทองและนายไนยชนเบิกความว่าจำเลยมารับข้าวสารและจ่ายเงินให้แก่ตนคือบริเวณร้านข้าวสารย่านเตาปูน ซึ่งเป็นคนละสถานที่กับที่นายวุฒิโรจน์เบิกความ พยานโจทก์ทั้งสองยังเบิกความว่าการขนถ่ายข้าวสารเป็นการขนถ่ายลงที่ร้านข้าวสาร มิใช่ขนถ่ายลงจากรถกระบะของพยานโจทก์ทั้งสองไปขึ้นรถกระบะของจำเลย จึงไม่เกิดความสับสน และไม่เกิดความสงสัยแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์มั่นคงฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง และต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share