แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์รวมทั้งทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินของจำเลย โดยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินของโจทก์ แม้จำเลยจะครอบครองโดยสำคัญผิดว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินของจำเลยเอง หากแต่ต้องถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินของบุคคลอื่นที่สามารถนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยจำเลยต้องรู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ด้วยไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนต้นไม้ของจำเลยที่อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 9495 ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ประมาณ 72 ตารางวา ของโจทก์ออกไปทั้งหมดแล้วให้จำเลยปรับปรุงดินบริเวณดังกล่าวให้คงสภาพเดิม และห้ามจำเลยพร้อมทั้งบริวารรบกวน หรือยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทของโจทก์อีก และให้จำเลยเพิกถอนคำคัดค้านการรังวัดที่ดินของโจทก์ที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุโขทัย สาขากงไกรลาศ รังวัดเพื่อแบ่งแยกในนามเดิมของโฉนดที่ดินเลขที่ 9495 ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ประมาณ 8 ไร่ 2 งาน 26 ตารางวา และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 3,200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนต้นไม้ของจำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และปรับปรุงที่ดินของโจทก์ให้แล้วเสร็จและอยู่ในสภาพเดิม
จำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์และพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 9495 ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ทางด้านทิศตะวันตกในส่วนที่ติดกับที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 16271 ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ 72 ตารางวา ตามเนื้อที่ภายในเส้นสีแดงแผนที่สังเขปเป็นของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 9495 ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ให้แก่จำเลยเพื่อจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตามคำขอท้ายคำฟ้องแย้งภายใน 7 วัน นับตั้งแต่ศาลมีคำพิพากษา หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนโจทก์ในการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดิน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 9495 ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เฉพาะส่วนทางด้านทิศตะวันตกที่จำเลยครอบครองอยู่ เนื้อที่ 72 ตารางวา ในกรอบสีเขียวตามแผนที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยด้วยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 7,000 บาท คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนต้นไม้ของจำเลยที่อยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 9495 ตำบลไกรใน อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ 72 ตารางวา ในกรอบสีเขียวตามแผนที่พิพาท แล้วให้จำเลยปรับปรุงดินบริเวณดังกล่าวให้คงสภาพดังเดิม และห้ามจำเลยพร้อมทั้งบริวารรบกวนหรือยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาทของโจทก์อีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ปีละ 3,200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 13 พฤศจิกายน 2555) จนกว่าจำเลยจะรื้อถอนต้นไม้ของจำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และปรับปรุงที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิม คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับฟ้องของโจทก์และฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำนดค่าทนายความ 6,000 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การที่จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยสำคัญผิดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของจำเลย ถือเป็นการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายได้หรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 บัญญัติว่า “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์” คดีนี้จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์โดยทำคันนาเป็นเส้นแบ่งอาณาเขตระหว่างที่ดินโจทก์และจำเลยดังกล่าวและปลูกต้นไม้รวมทั้งทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินของจำเลย โดยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว ดังนี้เมื่อที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดินของโจทก์ แม้จำเลยจะครอบครองโดยสำคัญผิดว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยครอบครองที่ดินของจำเลยเอง หากแต่ต้องถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินของบุคคลอื่นที่สามารถนับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ได้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หาจำต้องเป็นการครอบครองโดยจำเลยต้องรู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของโจทก์ด้วยไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า การครอบครองปรปักษ์จะเกิดขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น เมื่อฝ่ายจำเลยอ้างในคำให้การและคำแก้อุทธรณ์โจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของตน จึงไม่อาจมีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ได้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น และเนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 6 ยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า จำเลยครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วหรือไม่ และคดีนี้มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันจำนวน 200,000 บาท ซึ่งต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ยังมิได้วินิจฉัยดังกล่าวอาจเป็นผลให้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 6 เปลี่ยนแปลงไป ทั้งอาจมีกรณีจำกัดสิทธิของคู่ความในการฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามลำดับชั้นศาลเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (3) ประกอบด้วยมาตรา 247
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้รวมสั่งเมื่อได้มีคำพิพากษาใหม่