แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาททั้ง 8 คัน จากบริษัทท.แล้วจำเลยเช่าซื้อรถยนต์พิพาททั้ง 8 คัน จากโจทก์ แม้ในขณะโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาททั้ง 8 คันที่ให้เช่าซื้อก็ตาม แต่บริษัท ท. ยินยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาททั้ง 8 คันออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อช่วงได้ และโจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาททั้ง 8 คัน ให้แก่จำเลยได้ หากจำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา จำเลยสมัครใจเข้าทำสัญญาโดยมิได้โต้แย้งในเรื่องนี้แต่อย่างใด จำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อ จะอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อ จึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ไปรวม 8 คัน โดยตกลงผ่อนชำระเป็นงวด จำเลยได้รับรถยนต์ทั้ง8 คัน ไปจากโจทก์แล้วตั้งแต่ในวันทำสัญญาเช่าซื้อแต่ละฉบับ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ทั้ง 8 คัน ให้แก่โจทก์ตามสัญญาโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาและทวงถามให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ทั้ง 8 คันคืนโจทก์หลายครั้งแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เป็นเงิน 4,346,666 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบรถยนต์ทั้ง 8 คัน คืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ทั้ง 8 คัน คืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ใช้การได้ดีหากจำเลยไม่คืนหรือคืนไม่ได้ ไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ให้จำเลยรับผิดใช้ราคาแก่โจทก์เป็นเงิน 1,900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์ตามฟ้อง ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ จำเลยไม่เคยทำสัญญาเช่าซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องทั้ง 8 คัน จำเลยมิได้ผิดสัญญาตามที่โจทก์กล่าว โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาใด ๆ กับจำเลย ค่าเสียหายตามฟ้องไม่มีและถ้าจะมีก็ไม่เกินคันละ 1,000 บาทต่อเดือน ขอให้โจทก์ดำเนินการโอนทะเบียนรถยนต์ทั้ง 7 คัน ให้แก่จำเลย ถ้าไม่อาจดำเนินการได้ ให้คู่กรณีกลับสู่ฐานะเดิมและให้โจทก์ชดใช้ราคารถยนต์คันละ 250,000 บาท รวม 7 คัน เป็นเงิน 1,750,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน 1,507,100 บาท และค่าเสียหายอีกเดือนละ 3,000 บาทต่อรถยนต์แต่ละคัน นับตั้งแต่วันฟ้องและให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาท7 คันแรกตามฟ้องคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากไม่คืนให้จำเลยรับผิดชดใช้ราคารถยนต์พิพาททั้ง 7 คัน แก่โจทก์ เฉพาะรถยนต์คันหมายเลขคัสซี เค.เอ็ม. 310-26519 จำนวน 150,000 บาท รถยนต์นอกนั้นอีก 6 คัน ราคาคันละ 250,000 บาท รวม 7 คัน เป็นเงิน1,650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบคืนหรือใช้ราคา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้เช่าซื้อรถยนต์พิพาททั้ง 8 คันมาจากบริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์เซลส์ จำกัด โดยบริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์เซลส์ จำกัด ยินยอมให้โจทก์ให้ผู้อื่นเช่าซื้อช่วงได้ โจทก์จึงนำรถยนต์พิพาททั้ง 8 คันให้จำเลยเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.9 และต่อมาโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาททั้ง 8 คันครบถ้วนแล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า ขณะโจทก์ให้จำเลยเช่าซื้อรถยนต์พิพาททั้ง 8 คัน โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่มีอำนาจให้เช่าซื้อได้ สัญญาเช่าซื้อตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.9เป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าแม้ในขณะโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อต่อกัน โจทก์จะยังไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์พิพาททั้ง 8 คันที่ให้เช่าซื้อก็ตาม แต่บริษัทไทยฮีโน่มอเตอร์เซลส์ จำกัด ก็ได้ยินยอมให้โจทก์นำรถยนต์พิพาททั้ง 8 คันออกให้ผู้อื่นเช่าซื้อช่วงต่อได้ และโจทก์สามารถโอนกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาททั้ง 8 คันให้แก่จำเลยได้ หากจำเลยชำระเงินค่าเช่าซื้อครบตามสัญญา จำเลยเองก็สมัครใจเข้าทำสัญญามิได้เกี่ยงงอนมาก่อนแต่อย่างใด เช่นนี้จำเลยจะกลับมาอ้างว่าขณะทำสัญญาโจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน