คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6145/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในวันชี้สองสถาน คู่ความแถลงสละข้อต่อสู้อื่น ๆ คงเหลือประเด็นว่าสัญญากู้ตามฟ้องปลอมหรือไม่ แม้จะจดรายงานกระบวนพิจารณาไว้ด้วยว่าคู่ความตกลงท้ากันว่าหากศาลวินิจฉัยฟังว่าลายมือชื่อผู้กู้ปลอมโจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่ปลอม จำเลยเป็นฝ่ายแพ้ ก็ไม่ใช่การท้ากันให้ศาลตัดสินคดีไปตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่ จึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นต้องทำการสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยคดีไปตามพยานหลักฐาน ฉะนั้น แม้ก่อนสืบพยานทั้งโจทก์และจำเลยต่างขอให้ศาลชั้นต้นส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของผู้กู้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อของผู้กู้ในสัญญากู้นั้นปลอมหรือไม่ แต่ก็ไม่ได้ตกลงท้ากันโดยหากผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้นดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญ และผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์เสร็จแล้วส่งรายงานการ ตรวจพิสูจน์กลับคืนมาศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปให้เสร็จสิ้นกระบวนความ แล้วจึงพิพากษาคดีนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วและให้นัดฟังคำพิพากษาหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจพิสูจน์เอกสารและส่งรายงานการตรวจพิสูจน์โดยที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สืบพยานโจทก์จำเลย จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลชั้นต้นไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดี เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นเช่นนั้นแล้ว แม้โจทก์มิได้คัดค้านคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) และ(2) ศาลอุทธรณ์ไม่อาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายจรัส บุญชัย ผู้ตาย เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนายจรัส ก่อนนายจรัสถึงแก่ความตาย นายจรัสได้กู้เงินจำนวน 355,000 บาท จากโจทก์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2536โดยได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์ครบถ้วนและตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ทุกเดือนจนกว่าจะชำระเงินต้นเสร็จสิ้นภายในวันที่ 15 กันยายน 2538 แต่หลังจากนั้นนายจรัสผิดสัญญาโดยไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เลย ต่อมาวันที่14 ธันวาคม 2537 โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญากู้ยืมที่นายจรัสทำไว้กับโจทก์ไปยังจำเลยในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของนายจรัสผู้ตาย และให้จำเลยใช้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินจำนวน 355,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันทำสัญญากู้ยืมจนถึงวันฟ้องจำนวน 74,845.66 บาท รวมเป็นเงิน427,845.66 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 355,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสัญญากู้ยืมเงินยังไม่ครบกำหนดชำระเงินคืน สัญญากู้เงินเป็นเอกสารปลอมลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญาตามฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อนายจรัส ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 427,845.66 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 355,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าในการชี้สองสถาน คู่ความได้แถลงสละข้อต่อสู้อื่น ๆ คงเหลือประเด็นเดียวคือสัญญากู้ตามฟ้องปลอมหรือไม่ และคู่ความท้ากันว่า หากศาลวินิจฉัยฟังว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เงินตามฟ้องปลอม โจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่ปลอมจำเลยเป็นฝ่ายแพ้ต้องรับผิดตามสัญญากู้ ต่อมาก่อนสืบพยานคู่ความขอให้ศาลชั้นต้นส่งเอกสารที่มีคำสั่งเรียกมาจากบุคคลภายนอกไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ลายมือในช่องผู้กู้ในสัญญากู้เงินตามฟ้องเปรียบเทียบกับลายมือชื่อในเอกสารที่มีคำสั่งเรียกมา เมื่อผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์เสร็จเรียบร้อยและส่งรายงานการตรวจพิสูจน์กลับไปให้ศาลชั้นต้นแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2539 ว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วและให้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 มิถุนายน 2539เวลา 9 นาฬิกาแล้วศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังในวันและเวลาดังกล่าวโดยไม่มีการสืบพยานอีก คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เป็นการไม่ชอบเพราะคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า สัญญากู้ปลอมหรือไม่และภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ โจทก์ต้องนำพยานมาสืบ เมื่อศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์นำสืบและโจทก์ไม่คัดค้านคำสั่งดังกล่าวแต่นิ่งเฉย จึงเท่ากับโจทก์ไม่มีพยานมาสืบในข้อเท็จจริงนั้นไม่ควรย้อนสำนวนให้สืบพยานใหม่ เห็นว่า คดีนี้เป็นเรื่องที่คู่ความสละข้อต่อสู้ประเด็นอื่น คงเหลือประเด็นข้อพิพาทให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเพียงข้อเดียวว่า ลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เงินตามฟ้องปลอมหรือไม่ ซึ่งแม้ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาไว้ด้วยว่าคู่ความตกลงท้ากันว่าหากศาลวินิจฉัยฟังว่าลายมือชื่อดังกล่าวปลอมโจทก์ยอมแพ้ ถ้าไม่ปลอมจำเลยเป็นฝ่ายแพ้ก็ตามกรณีก็ไม่ใช่กรณีคู่ความท้ากันในคดีซึ่งเป็นการที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อนโดยเงื่อนไขนั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาเช่นการสาบานในการเบิกความของพยานปากใดปากหนึ่งหรือท้าให้สืบพยานกันโดยให้ศาลตัดสินคดีไปตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่ จึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นต้องทำการสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้ววินิจฉัยคดีไปตามพยานหลักฐานดังกล่าวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาคดี ฉะนั้น แม้ปรากฏว่าต่อมาก่อนสืบพยานทั้งโจทก์และจำเลยต่างขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกเอกสารที่มีลายมือชื่อของนายจรัสผู้ตายมาจากบุคคลภายนอก แล้วขอให้ศาลชั้นต้นส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องเปรียบเทียบกับลายมือชื่อของนายจรัสในเอกสารตัวอย่างของโจทก์และจำเลย เพื่อทำการตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อของผู้กู้ในสัญญากู้นั้นปลอมหรือไม่ แต่คู่ความก็หาได้ตกลงท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้อง โดยหากผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่าอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้นไม่ ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานทำการตรวจพิสูจน์ และผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจได้ทำการตรวจพิสูจน์เสร็จแล้วส่งเอกสารดังกล่าวพร้อมรายงานการตรวจพิสูจน์กลับคืนมา ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยต่อไปให้เสร็จสิ้นกระบวนความ แล้วจึงพิพากษาคดีนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วและให้นัดฟังคำพิพากษาหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจได้ตรวจพิสูจน์เอกสารและส่งเอกสารกลับคืนมาพร้อมรายงานการตรวจพิสูจน์โดยที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สืบพยานโจทก์และจำเลยแต่อย่างใดนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ โดยเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดีที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งเช่นนั้นแล้วโจทก์มิได้คัดค้านคำสั่งดังกล่าวแต่นิ่งเฉย เท่ากับโจทก์ไม่มีพยานมายืนยันในข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ควรยกฟ้องโจทก์ไม่ควรย้อนสำนวนไปให้สืบพยานใหม่นั้น เห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3เห็นว่าศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษาคดีเช่นนั้นแล้ว แม้โจทก์มิได้คัดค้านคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ชอบที่จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานโจทก์และจำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) และ (2) โดยไม่อาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงพิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share