คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 614/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ผู้ร้องอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนกับจำเลย แต่ไม่มีข้ออ้างประการใดที่อ้างความเป็นหุ้นส่วนนั้นขึ้นยันโจทก์ได้ ผู้ร้องจึงมีฐานะเป็นบริวารจำเลยและอยู่ในฐานะที่จะต้องถูกบังคับให้ออกจากห้องพิพาทได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมออกจากห้องเลขที่ 166 ภายในวันที่ 11 เมษายน 2507 ศาลพิพากษาบังคับคดีตามยอม ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยและนายยนต์ กับนางสมจิตต์บริวารจำเลยไม่ยอมออก ขอให้ศาลเรียกตัวมาสอบถามนายยนต์ นางสมจิตต์ยื่นคำร้องว่า เดิมนายใหญ่บิดานายยนต์ผู้ร้องกับจำเลยเช่าห้องพิพาทจากโจทก์เพื่อทำการค้า แต่การค้าขาดทุนผู้ร้องจึงเข้าหุ้นทำการค้าให้นายยนต์เป็นผู้จัดการ นางสมจิตต์เป็นผู้จัดการด้านการเงิน และใช้ชื่อจำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทต่อไป จำเลยรับค่าเช่าห้องจากผู้ร้องเอาไปให้โจทก์ ผู้ร้องไม่ใช่บริวาร

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องออกไปจากห้องพิพาทภายใน 1 เดือน

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ ที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนกับจำเลย แต่ไม่มีข้ออ้างประการใดที่จะอ้างความเป็นหุ้นส่วนนั้นขึ้นยันโจทก์ได้ ผู้ร้องจึงมีฐานะเป็นบริวารของจำเลยและอยู่ในฐานะที่จะต้องถูกบังคับให้ออกจากห้องพิพาท

พิพากษายืน

Share