แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำให้การของจำเลยตอนแรกจำเลยให้การว่าการก่อสร้างเครื่องจักรทั้งสามรายการเป็นงานที่โจทก์ต้องทำให้แก่จำเลยตามที่จ้างกันอยู่แล้วแต่คำให้การตอนต่อมาจำเลยให้การว่าหากจะถือว่าสิ่งก่อสร้างทั้งสามรายการเป็นส่วนอื่นอยู่นอกเหนือสัญญาจ้างเมื่อจำเลยตอบปฏิเสธตามที่โจทก์เสนอราคาค่าก่อสร้างมาก็แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์ทำโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะทำเพราะจำเลยไม่ได้ตกลงด้วยการที่โจทก์ทำไปโดยพลการจึงไม่ชอบที่โจทก์จะมาเรียกร้องเอาค่าจ้างจากจำเลยคำให้การของจำเลยดังกล่าวอ่านแล้วไม่อาจทราบได้ว่าเครื่องจักรทั้งสามรายการที่กล่าวแล้วจำเลยตกลงจ้างให้โจทก์สร้างหรือไม่คำให้การของจำเลยข้อนี้จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสอง หนี้ตามที่จำเลยอ้างเพื่อนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์เป็นหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่เพราะโจทก์มิได้รับว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยตามที่อ้างด้วยเหตุนี้จึงไม่แน่ว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยจริงหรือไม่และมีจำนวนเท่าใดเมื่อเป็นเช่นนี้จำเลยจึงไม่อาจนำหนี้ดังกล่าวมาขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ได้
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกัน
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาว่าจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างอาคาร โจทก์ได้ก่อสร้างโรงงานและงานก่อสร้างเพิ่มเติมจนแล้วเสร็จและส่งมอบงานให้จำเลยรับไปแล้ว แต่ปรากฏว่าจำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์เพียง 5 งวด เป็นเงิน 1,785,000 บาทและยังค้างชำระค่าจ้างตั้งแต่ง งวดที่หกถึงงวดที่แปด กับค่าจ้างก่อสร้างพิเศษอีกรวมเป็นเงิน 1,390,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,407,375 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ในต้นเงิน 1,390,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ทำงานไม่เสร็จและทิ้งงานไป จำเลยต้องจ้างบุคคลอื่นเข้ามาทำงานส่วนที่เหลือและซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดแทนโจทก์เสียเงินไปอีก 120,000 บาท ซึ่งเมื่อนำไปหักกับค่าจ้างที่จำเลยยังไม่ได้จ่ายอีก 111,400 บาท แล้วจะเหลือเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์ในส่วนนี้อีกเพียง 8,600 บาท เมื่อรวมเงินที่จำเลยได้จ่ายไปแล้วและค่าปรับที่โจทก์จะต้องจ่ายเป็นเงินทั้งสิ้น 908,600 บาท และเมื่อหักกับเงินจำนวน1,190,000 บาท ที่จำเลยจะต้องจ่ายแก่โจทก์แล้วคงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์อีกเพียง 281,400 บาท การที่โจทก์ไม่สามารถทำงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาเป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถผลิตสินค้าส่งให้ลูกค้าที่ประเทศสิงคโปร์ได้ทันและต้องถูกปรับวันละ 6,000 บาท เป็นเวลา 4 เดือนรวมเป็นเงิน 720,000 บาท เมื่อนำมาหักออกจากเงินจำนวน281,400 บาท ที่จำเลยจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์แล้วโจทก์ยังจะต้องชดใช้เงินให้จำเลยอีกเป็นเงิน 438,600 บาท จำเลยไม่เคยสั่งให้โจทก์เปลี่ยนแปลงโครงสร้างและแบบที่ก่อสร้างและไม่เคยจ้างโจทก์ให้ก่อสร้างเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากแบบแปลนอีก 8 รายการ ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ และโจทก์ เป็นฝ่ายทิ้งงานไปอันเป็นการผิดสัญญา จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่สองโจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนมิถุนายน 2527 จำเลยได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้จัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ทั้งหมดรวม 17 รายการตามแบบที่จำเลยกำหนดไปติดตั้งในโรงงานผลิตเส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูปของจำเลย เมื่อโจทก์ได้สร้างโรงงานผลิตเส้นหมี่ของจำเลยเสร็จแล้วในราคา 3,797,130 บาทนอกจากนั้นจำเลยยังได้ว่าจ้างโจทก์ทำงานพิเศษอีก 3 รายการรายการแรกให้จัดสร้างโครงชั้นลอยรับถังแช่ข้าว รายการที่สองสร้างฟิดเดอร์แท็งก์ ฟิลเตอร์แท็งก์ และถังซอฟเทนเนอร์ รายการที่สามสร้างตู้ไฟฟ้าคอนโทรล รวมเป็นเงิน 612,000 บาท โจทก์ได้ก่อสร้างจัดหาและติดตั้งเครื่องจักรอุปกรณ์รวมทั้งจัดทำงานที่ว่าจ้างพิเศษให้จำเลยจนเสร็จตามข้อตกลงและพร้อมจะส่งมอบงานให้จำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมรับมอบอ้างว่ายังไม่ได้ทดลองเครื่องจักรที่โจทก์ติดตั้ง ซึ่งข้ออ้างนี้ไม่ได้ตกลงกันในสัญญาว่าเป็นหน้าที่ของโจทก์ ส่วนค่าจ้างนั้นจำเลยได้ชำระให้โจทก์แล้วหลายครั้งรวมเป็นเงิน 2,736,039 บาท ยังคงค้างชำระอยู่อีก1,673,091 บาท ก่อนฟ้องโจทก์เคยทวงถามให้จำเลยชำระเงินที่ค้างแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระให้ โจทก์จึงขอคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน1,673,091 บาท นับตั้งแต่วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2528ซึ่งเป็นวันรับหนังสือทวงถามจนถึงวันฟ้องอีกเป็นเงิน 20,900 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,693,991 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 1,693,991 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 1,673,091 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2527 จำเลยได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้สร้างเครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตเส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูปพร้อมอุปกรณ์และการติดตั้ง มีชื่อว่า”ซันวา 3″ โดยให้มีลักษณะและสภาพรวมทั้งสามารถทำการผลิตได้เหมือนกับเครื่องจักรของบริษัทไทยซันวยาฟูดส์อินดัสเตรียลจำกัด ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 96 หมู่ที่ 6 ถนนร่มเกล้า แขวงลาดกระบังเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ในราคาค่าจ้าง 3,797,130 บาทการตกลงดังกล่าวนี้เป็นการตกลงกันด้วยวาจา และโจทก์จะต้องจัดสร้างเครื่องจักรและติดตั้งให้แก่จำเลยที่โรงงานของจำเลยที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสามารถใช้ทำการผลิตได้ภายในกำหนด 120 วัน นับตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2527 หากสร้างไม่เสร็จในกำหนดโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ที่จำเลยจะได้รับอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาแก่จำเลย ต่อมาในระหว่างก่อสร้างโจทก์จำเลยได้ตกลงลดราคาค่าจ้างลงเป็นเงิน429,630 บาท และจำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ไปแล้วเป็นเงิน2,736,039 บาทยังเหลือค้างจ่ายอีกเพียง 631,461 บาทโจทก์ขอเบิกเงินอีกทั้งที่งานยังไม่เสร็จและยังไม่เคยทดลองการทำงานของเครื่องจักร จำเลยจึงไม่ยอมจ่ายเงินและขอร้องให้โจทก์ทำงานที่ว่าจ้างให้เสร็จภายในกำหนด มิฉะนั้นจำเลยจะต้องถูกปรับเนื่องจากไม่สามารถทำการผลิตเส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูปส่งให้แก่ลูกค้าที่ประเทศสิงคโปร์ได้ แต่โจทก์เพิกเฉยและทิ้งงานไปจำเลยจึงต้องจ้างบุคคลอื่นมาทำงานส่วนที่ยังค้างแทนโจทก์เสียเงินค่าจ้างไปเป็นเงิน 400,000 บาท และจากเหตุที่โจทก์ผิดสัญญาไม่สามารถทำงานที่ว่าจ้างให้แล้วเสร็จทันภายในเวลาที่ตกลงกัน ทำให้จำเลยต้องถูกลูกค้าที่ประเทศสิงคโปร์ปรับฐานผิดสัญญาเป็นเงินวันละ 6,000 บาท ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2528 เป็นเงินทั้งสิ้น 720,000 บาท โจทก์จึงต้องรับผิดในเงินจำนวนดังกล่าว เมื่อหักกับเงินที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินให้โจทก์อีก จำเลยไม่เคยจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างงานพิเศษทั้งสามรายการเป็นเงิน612,000 บาท เพราะการก่อสร้างดังกล่าวเป็นงานที่โจทก์ต้องทำให้แก่จำเลยตามที่ว่าจ้างกันอยู่แล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินค่าจ้างเกี่ยวกับงานนี้อีก หากจะถือว่าสิ่งก่อสรัาง ทั้งสามรายการเป็นส่วนอื่นนอกเหนือสัญญาจ้าง เมื่อจำเลยตอบปฏิเสธการที่โจทก์เสนอราคาค่าก่อสร้างมา ก็แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์ทำ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะทำเพราะจำเลยไม่ได้ตกลงด้วยการที่โจทก์ทำไปโดยพลการจึงไม่ชอบที่โจทก์จะมาเรียกร้องเอาค่าจ้างจากจำเลยและจำเลยไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,148,091 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน1,768,378 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาทั้งสองสำนวน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นข้อแรกข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยตกลงจ้างโจทก์ให้สร้างเครื่องจักรสำหรับผลิตเส้นหมี่กึ่งสำเร็จรูปเพียงเครื่องเดียว หาใช่ 3 เครื่อง ดังที่จำเลยฎีกาไม่
ประเด็นข้อที่สองมีว่า คำให้การของจำเลยที่เกี่ยวกับการสร้างเครื่องจักรเพิ่มเติม 3 รายการ คือ โครงสร้างชั้นลอยสำหรับติดตั้งถังแช่ข้าวตู้ควบคุมไฟฟ้าทั้งหมดของโรงงาน และถังเหล็กสำหรับเตรียมและเก็บน้ำก่อนเข้าหม้อน้ำ เป็นคำให้การที่จัดกันเองดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยหรือไม่ ประเด็นข้อนี้ตามคำให้การของจำเลยตอนแรกจำเลยให้การว่า การก่อสร้างเครื่องจักรทั้งสามรายการดังกล่าวเป็นงานที่โจทก์ต้องทำให้แก่จำเลยตามที่จ้างกันอยู่แล้วแต่คำให้การตอนต่อมาจำเลยให้การว่าหากจะถือว่าสิ่งก่อสร้างทั้งสามรายการเป็นส่วนอื่นอยู่นอกเหนือสัญญาจ้าง เมื่อจำเลยตอบปฏิเสธตามที่โจทก์เสนอราคาค่าก่อสร้างมาก็แสดงว่าจำเลยไม่ประสงค์จะให้โจทก์ทำ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะทำเพราะจำเลยไม่ได้ตกลงด้วย การที่โจทก์ทำไปโดยพลการจึงไม่ชอบที่โจทก์จะมาเรียกร้องเอาค่าจ้างจากจำเลย คำให้การของจำเลยดังกล่าวอ่านแล้วไม่อาจทราบได้ว่า เครื่องจักรทั้งสามรายการที่กล่าวแล้ว จำเลยตกลงจ้างให้โจทก์สร้างหรือไม่คำให้การของจำเลยข้อนี้จึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยชอบแล้ว
ประเด็นข้อที่ว่า จำเลยจะนำค่าเสียหายและค่าปรับที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ทำงานบกพร่องไม่เรียบร้อย ซึ่งโจทก์ต้องชำระให้แก่จำเลยมาหักกลบลบหนี้ตามที่โจทก์ฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่าหนี้ตามที่จำเลยอ้างเพื่อนำมาหักกลบลบหนี้กับโจทก์เป็นหนี้ที่ยังมีข้อต่อสู้อยู่ เพราะโจทก์มิได้รับว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยตามที่อ้าง ด้วยเหตุนี้จึงไม่แน่ว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยจริงหรือไม่และมีจำนวนเท่าใด เมื่อเป็นเช่นนี้จำเลยจึงไม่อาจนำหนี้ดังกล่าวมาขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์ได้จำเลยเรียบร้อยแล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน