คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6136/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีหนังสือถึงเทศบาลเมืองอุบลราชธานีจำเลยแจ้งว่าโจทก์ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยใช้เป็นสถานีขนส่งโดยมีข้อความระบุว่า”ที่ดินดังกล่าวนี้ข้าพเจ้ายินดีและตกลงยกให้เทศบาลเมืองอุบลฯจำนวนเนื้อที่ประมาณ5ไร่เพื่อให้จัดทำเป็นสถานีขนส่งทางบกผู้ยกให้และผู้รับจะได้ทำการโอนทางทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยเร็วหลังจากกรมขนส่งอนุญาตแล้ว”ซึ่งต่อมาจำเลยได้ว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคารสถานีขนส่งลงในที่พิพาทและโจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศกำหนดให้สถานที่ที่โจทก์ก่อสร้างดังกล่าวเป็นสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีหลังจากนั้นโจทก์ก็ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่จำเลยดังนี้ถือว่าจำเลยได้ดำเนินการตามขั้นตอนเรื่องการจัดตั้งสถานีขนส่งเรียบร้อยทุกขั้นตอนแล้วส่วนการที่ภายหลังต่อมากระทรวงคมนาคมประกาศยกเลิกสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลราชธานีนั้นเป็นเรื่องที่ทางราชการเห็นว่าสภาพและสภาวะปัจจุบันไม่เหมาะสมที่จะใช้ที่พิพาทเป็นสถานีขนส่งอีกต่อไปซึ่งไม่มีผลย้อนหลังให้ที่พิพาทซึ่งโจทก์ได้จดทะเบียนโอนเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยไปแล้วกลับคืนไปยังโจทก์อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2508 โจทก์และเจ้าของรวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 4208 ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานีจังหวัดอุบลราชธานี ได้เสนอยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยมีเงื่อนไขว่าจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ให้หลังจากที่กรมการขนส่งทางบกกระทรวงคมนาคม อนุญาตให้ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นสถานีขนส่งแล้วหากไม่อนุญาตถือว่าโจทก์ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินอยู่เสมือนไม่เคยยกให้จำเลย วันที่ 9 กันยายน 2508 จำเลยทำสัญญาให้โจทก์ก่อสร้างอาคารสถานีขนส่งในที่ดินแปลงดังกล่าวด้วยทุนทรัพย์ของโจทก์แล้วให้อาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทันที โดยโจทก์มีสิทธิเก็บผลประโยชน์จากการเป็นสถานีขนส่งเป็นเวลา 2 ปี ต่อมาวันที่ 24 มกราคม 2510 กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 4208 เป็นสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานี โจทก์จึงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2511 แต่ปรากฏว่าภายหลังทางราชการมิได้ดำเนินการให้เป็นสถานีขนส่งสมบูรณ์แบบโดยไม่บังคับให้รถโดยสารเข้าหยุดหรือจอดในบริเวณสถานีขนส่ง ไม่จัดระเบียบการเดินรถไม่ประกาศเก็บค่าบริการจากผู้ประกอบการขนส่งในสถานีขนส่งครั้นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2530 กระทรวงคมนาคมประกาศยกเลิกสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีในที่ดินแปลงดังกล่าว ทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 4208 ซึ่งเป็นที่พิพาทไม่สามารถใช้เป็นสถานีขนส่งได้อีกต่อไป เงื่อนไขการยกที่ดินให้จำเลยจึงสิ้นสุดลง โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทพร้อมอาคารคืนแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4208 ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีคืนให้โจทก์และเจ้าของรวมเดิม หากไม่โอนให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งก่อสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำเพราะโจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นในเรื่องเดียวกันกับคดีนี้มาครั้งหนึ่งแล้วและศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ประกาศให้ใช้ที่พิพาทและอาคารที่โจทก์ก่อสร้างเป็นสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานี โจทก์จึงจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทดังกล่าวให้จำเลย การที่ต่อมาสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีหมดความจำเป็นและถูกยกเลิกไปไม่เข้ากรณีตามเงื่อนไขที่โจทก์อ้างโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกที่พิพาทคืน จำเลยครอบครองที่พิพาทมาเป็นเวลาเกิน 10 ปี แล้วจึงได้กรรมสิทธิ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาว่าเดิมโจทก์เป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทโฉนดเลขที่ 4208 ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีวันที่ 8 กันยายน 2508 โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยแจ้งว่าโจทก์ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยเพื่อให้จำเลยใช้เป็นสถานีขนส่ง ตามเอกสารหมาย จ.2 วันที่ 9 กันยายน 2508 จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้ทำการก่อสร้างอาคารสถานีขนส่งในที่พิพาทด้วยค่าใช้จ่ายของโจทก์เมื่อก่อสร้างเสร็จกรรมสิทธิ์ในอาคารเป็นของจำเลยโดยให้โจทก์มีสิทธิเก็บผลประโยชน์ในสถานีขนส่งเป็นเวลา 2 ปี ตามเอกสารหมาย จ.3โจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารสถานีขนส่งจนแล้วเสร็จรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้ใช้ที่พิพาทเป็นสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2510 เป็นต้นไป ตามเอกสารหมาย จ.4 โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้จำเลยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2511ตามเอกสารหมาย จ.1 ต่อมาวันที่ 18 กันยายน 2530 กระทรวงคมนาคมประกาศยกเลิกสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลราชธานี ตามเอกสารหมายจ.5 คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าเมื่อทางราชการได้ประกาศยกเลิกการเป็นสถานีขนส่งบนที่พิพาทแล้วจะเข้าข้อยกเว้นตามเงื่อนไขในเอกสารหมาย จ.2 โดยถือว่าโจทก์ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทหรือไม่ เมื่อพิเคราะห์ข้อความตามเอกสารหมาย จ.2 ที่ว่า “ที่ดินดังกล่าวนี้ข้าพเจ้ายินดีและตกลงยกให้เทศบาลเมืองอุบลฯ จำนวนเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เพื่อให้จัดทำเป็นสถานีขนส่งทางบก ผู้ยกให้และผู้รับจะได้ทำการโอนทางทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายโดยเร็วหลังจากกรมขนส่งอนุญาตแล้ว” ซึ่งต่อมาจำเลยได้ว่าจ้างให้โจทก์ก่อสร้างอาคารสถานีขนส่งลงในที่พิพาทตามสัญญาเอกสารหมาย จ.3 โจทก์ได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีประกาศกำหนดให้สถานที่ที่โจทก์ก่อสร้างดังกล่าวเป็นสถานีขนส่งจังหวัดอุบลราชธานี ตามประกาศเอกสารหมาย จ.4ซึ่งลงวันที่ 24 มกราคม 2510 หลังจากนั้นโจทก์ก็ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2511ตามเอกสารหมาย จ.1 ดังนี้ถือว่าจำเลยได้ดำเนินการตามขั้นตอนเรื่องการจัดตั้งสถานีขนส่งเรียบร้อยทุกขั้นตอนแล้วทั้งเป็นการสอดคล้องกับข้อความที่เจ้าหน้าที่ผู้รับเรื่องราวได้เกษียณสั่งในมุมล่างด้านซ้ายของเอกสารหมาย จ.2 ว่า “คณะเทศมนตรีได้พิจารณาแล้ว รับดำเนินการตามที่ผู้ยกให้ประสงค์ เรื่องราวการจัดสถานีขนส่งดำเนินการต่อไป” ส่วนการที่กระทรวงคมนาคมประกาศยกเลิกสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลราชธานีเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2530ตามเอกสารหมาย จ.5 นั้น เป็นเรื่องที่ทางราชการเห็นว่าสภาพและสภาวะปัจจุบันไม่เหมาะสมที่จะใช้ที่พิพาทเป็นสถานีขนส่งอีกต่อไปซึ่งไม่มีผลย้อนหลังให้ที่พิพาทซึ่งโจทก์ได้จดทะเบียนโอนเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยไปแล้วกลับคืนไปยังโจทก์อีก ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงและมิใช่ปัญหาวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share