คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นลูกเลี้ยงผู้ตายอยู่เรือนเดียวกับผู้ตายคืนเกิดเหตุจำเลยนอนเฝ้าเรือนอยู่คนเดียวที่ระเบียงส่วนผู้ตายไปเที่ยวสัก 4 น.มีคนจะขึ้นมาบนเรือนจำเลยได้ร้องถามไปคนนั้นก็ไม่ตอบจำเลยสำคัญว่าเป็นคนร้ายจะขึ้นมาลักทรัพย์บนเรือนจึงตีไป 2-3 ทีคนนั้นตกบันไดไป เอาตะเกียงมาส่องดูจึงรู้ว่าเป็นนายทองบิดาเลี้ยงซึ่งเป็นที่รักของจำเลย จำเลยว่าถ้ารู้ว่าเป็นนายทองก็จะไม่ตีดั่งนี้เป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและเป็นการป้องกันตัวและทรัพย์สมควรแก่เหตุ ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องไม่ลงโทษจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2498 เวลากลางคืน จำเลยได้ใช้ไม้ตะบองตีนายทอง ตุ้มกลางตกจากเรือนโดยเจตนาจะฆ่าให้ตายนายทองถึงแก่ความตายในวันนั้นเอง เหตุเกิดที่ตำบลพลสงครามอำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249

จำเลยให้การรับว่าได้ทำร้ายนายทอง ตุ้มกลางจริง แต่มิได้มีเจตนาจะฆ่า

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำการป้องกันตัวเกินสมควร มีผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249-53 ให้จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพจึงปราณีลดให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 59 คงจำคุกจำเลย 1 ปี

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อคนขึ้นมาบนเรือนในเวลาวิกาล ซึ่งมีแต่จำเลยเป็นผู้ชายคนเดียวอยู่บนเรือนจำเลยได้ถามถึง 2 ครั้งนายทองก็ไม่ตอบ ดังนี้ เป็นภัยอันร้ายแรงถึงขนาดที่อาจต้องเสียชีวิตหรือทรัพย์สินได้จำเลยได้ใช้ไม้ไผ่หรือตะบองตีไป 3 ที ถือได้ว่าเป็นการป้องกันสมควรแก่เหตุแล้ว จำเลยไม่ควรต้องรับโทษ แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา ศาลอุทธรณ์ย่อมทรงอำนาจที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำโดยเข้าใจผิด โดยเข้าใจว่านายทองเป็นคนร้ายขึ้นมาบนเรือนเพื่อลักทรัพย์ได้ชื่อว่าสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 และการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันทรัพย์อันนับว่าสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 จำเลยจึงไม่ควรมีความผิด จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share