คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 613/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า”การที่อัยการเขต8(หมายถึงตัวโจทก์)สั่งกลับคำสั่งของอัยการจังหวัดไม่ให้ฟ้องนายโสภณกิจประสานเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหากก่อให้เกิดบรรทัดฐานเช่นนี้จะทำให้เกิดการทุจริตกันอย่างใหญ่โต…”และว่าจำเลยจะสอบสวนกรมอัยการซึ่งทุกวันนี้เละเทะจนไม่น่าจะปล่อยปละละเลยอีกต่อไปได้ประเด็นที่จะสอบคืออัยการพิเศษประจำเขต8สั่งไม่ฟ้องนายโสภณไม่รู้ว่าไปสอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวนที่ไหนมาสั่งคดีสำคัญและเรื่องนี้จำเลยจะจัดการสะสางทั้งตัวเล็กและตัวใหญ่และว่าจำเลยรู้ว่ามีการรับเงินรับทองนั้นเป็นการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์สั่งไม่ฟ้องนายโสภณกิจประสานแม้โจทก์จะอ้างว่ามีอำนาจสั่งไม่ฟ้องนายโสภณแต่การสั่งไม่ฟ้องมีพฤติการณ์ที่ทำให้น่าสงสัยหลายประการและจำเลยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นและเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับการร้องเรียนจากภริยาและมารดาผู้ตายว่าการที่โจทก์มีคำสั่งดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยเห็นว่าพฤติการณ์ในการสั่งไม่ฟ้องเป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นการไม่ชอบประกอบกับเป็นคดีที่มีอิทธิพลซึ่งประชาชนรวมทั้งสื่อมวลชนให้ความสนใจเมื่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ความเห็นของจำเลยจำเลยก็ให้สัมภาษณ์ไปตามความเห็นของตนแม้ถ้อยคำที่ใช้จะรุนแรงอยู่บ้างแต่ก็เห็นได้ว่าแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตและติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชนและในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพึงกระทำเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามที่โจทก์ฟ้อง.
คดีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องเองและต้องห้ามฎีกาโดยมาตรา218,219และ220แห่งป.วิ.อ.ถ้าอธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยก็รับฎีกาไว้พิจารณาได้ตามป.วิ.อ.มาตรา221.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ในฐานะส่วนตัวและในฐานะเจ้าพนักงานตามกฎหมายในขณะที่โจทก์ดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษประจำเขต 8 มีคำสั่งไม่ฟ้องนายโสภณ กิจประสาน ผู้ต้องหาในคดีอาญาที่ต้องหาว่าใช้ จ้าง วาน ผู้อื่นให้ฆ่านายปรีดี สุจริตกุล และนายแสงชัยหรือโกโหลน ศักดิ์ศรีทวี ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 326, 328, 332, 91 และสั่งให้ โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมด
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อ วันที่ 10 เมษายน 2526 นายปรีดี สุจริตกุล ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จังหวัดภูเก็ต และนายแสงชัยหรือโกโหลน ศักดิ์ศรีทวี ถูกคนร้าย ใช้อาวุธปืนลอบยิงถึงแก่ความตายที่ตำบลกมลา อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต หลังจากเกิดเหตุแล้วเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน คือนายอาหมาด ดวงแก้ว นายตอหาด บุญหลำ และนายกาหริ่ม ดำเชื้อ ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น นายอาหมาดกับพวก ให้การรับสารภาพว่าได้ใช้อาวุธปืนยิงนายปรีดีและนายแสงชัยจริง โดยมีนายโสภณ กิจประสาน เป็นผู้ใช้ จ้าง วาน ศาลชั้นต้นพิพากษา ลงโทษจำคุกนายอาหมาดกับพวกคนละตลอดชีวิต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามเอกสารหมาย ล.20 และ ล.21 คดีถึงที่สุดแล้ว พนักงานสอบสวน ได้กันนายประทีปหรือฮวด เกิดผลไว้เป็นพยานและมีความเห็นสั่งฟ้อง นายโสภณในข้อหาใช้ จ้าง วาน ผู้อื่นฆ่านายปรีดีและนายแสงชัยตาม เอกสารหมาย ล.22 นายชัชวาล เอี่ยมพิภักดิ์ อัยการจังหวัดภูเก็ต ในขณะนั้นมีความเห็นตามความเห็นของพนักงานสอบสวน ตามเอกสารหมาย ล.3 และได้เสนอความเห็นต่อโจทก์ซึ่งเป็นอัยการพิเศษประจำเขต 8 ในขณะนั้น โจทก์มีบันทึกเห็นชอบไม่ฟ้องนายประทีปต่อท้ายความเห็น ของอัยการจังหวัดภูเก็ตตามเอกสารหมาย ล.4 ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2527 นายโสภณได้ทำหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม ต่ออธิบดีกรมอัยการ ตามเอกสารหมาย จ.1 อธิบดีกรมอัยการได้มี คำสั่งให้โจทก์ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วรายงานให้ทราบ โจทก์ได้เรียกสำนวนการสอบสวนจากอัยการจังหวัดภูเก็ตมาพิจารณา และมีความเห็นควรสอบสวนเพิ่มเติม จึงมีหนังสือแจ้งผู้บังคับการ กองปราบปรามให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติม ต่อมาโจทก์ได้มีคำสั่งไม่ ฟ้องนายโสภณ อัยการจังหวัดภูเก็ตได้ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมคำสั่งไม่ฟ้องนายโสภณให้นายมานิต วัลยะเพชร ผู้ว่าราชการจังหวัด ภูเก็ตในขณะนั้น นายมานิตมีความเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจสั่งคดี วันที่ 16 สิงหาคม 2528 วันที่ 28 กันยายน 2528 และวันที่ 1 ตุลาคม 2528 จำเลยซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นและเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพัทลุง ได้ให้สัมภาษณ์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์มีคำสั่งไม่ฟ้อง นายโสภณ และหนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด ไทยรัฐ เดลินิวส์ ได้ลงข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้องของโจทก์ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.5 คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อความที่ลงในหนังสือพิมพ์เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ และเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทำการตามหน้าที่นั้น เห็นว่าข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ตามเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.5 นั้นเกี่ยวกับเรื่องที่ โจทก์สั่งไม่ฟ้องนายโสภณ กิจประสาน แม้โจทก์จะอ้างและนำสืบว่า โจทก์มีอำนาจสั่งไม่ฟ้องนายโสภณก็ตาม แต่การที่โจทก์สั่งไม่ฟ้อง นายโสภณนั้นมีพฤติการณ์ที่ทำให้น่าสงสัยหลายประการ กล่าวคือ ประการแรก หนังสือร้องขอความเป็นธรรมของนายโสภณ ตามเอกสารหมาย จ.1 ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2527 ถึงกรมอัยการในวันเดียวกันนั้น เอง และตามเอกสารหมาย ล.31 แผ่นที่ 7 ปรากฏว่าอธิบดีกรมอัยการ ได้แถลงต่อที่ประชุมคณะกรรมาธิการการปกครองของสภาผู้แทนราษฎรว่าหนังสือร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าวได้ส่งมาทางไปรษณีย์ซึ่งเห็น ว่าเป็นเรื่องเร็วผิดปกติ ประการที่สอง หนังสือของโจทก์ที่สั่ง ให้ผู้บังคับการกองปราบปรามสอบสวนเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.7 ประเด็นที่โจทก์กำหนดให้สอบสวนเพิ่มเติมนั้นล้วนเป็นประโยชน์แก่ นายโสภณทั้งสิ้น ประการที่สาม พนักงานสอบสวนที่ผู้บังคับการ กองปราบตั้งขึ้นมาคือ พันตำรวจเอก ผาด ดวงฤทธิ์ และพันตำรวจโท ประกฤติ โกมลฐิติ ให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมนั้นจะเป็นพนักงานสอบสวน โดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่หลักฐานยังไม่ชัดเจนยังมีข้อสงสัยอยู่ ประการสุดท้าย เดิมอัยการจังหวัดภูเก็ตเห็นควรสั่งฟ้องนายโสภณ ส่วนนายประทีปหรือฮวด เกิดผล เห็นควรสั่งไม่ฟ้องเพราะได้กันไว้เป็นพยาน โจทก์เห็นชอบด้วยตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.4 แต่ต่อมา โจทก์กลับสั่งไม่ฟ้องนายโสภณ จากพฤติการณ์ของโจทก์ซึ่งขณะนั้น ดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษประจำเขต 8 สังกัดกรมอัยการ และเป็นกรม หนึ่งในกระทรวงมหาดไทย ที่ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายโสภณให้ข้อหา ฐานใช้ จ้าง วาน ฆ่านายปรีดี สุจริตกุล กับพวก จำเลยซึ่งเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นและเป็นสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร ได้รับการร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากภริยาและมารดา ของนายปรีดีผู้ตายว่า การที่โจทก์มีคำสั่งดังกล่าวนั้นเป็นการ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของโจทก์ ในการสั่งไม่ฟ้องนายโสภณเป็นที่น่าสงสัยว่าจะเป็นการไม่ชอบประกอบ กับคดีดังกล่าวเป็นคดีที่มีอิทธิพลซึ่งประชาชนรวมทั้งสื่อมวลชน ให้ความสนใจ เมื่อผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ความเห็นของ จำเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ จำเลยก็ให้สัมภาษณ์ไปตามความคิดเห็นของตน แม้ถ้อยคำที่ใช้จะรุนแรงอยู่บ้าง แต่ก็เห็นได้ว่าได้แสดงความ คิดเห็นโดยสุจริตใจและติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของจำเลยในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งมีหน้าที่ บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ประชาชน และในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พึงกระทำเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่น ประมาทและดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามที่โจทก์ฟ้อง ที่โจทก์ฎีกาว่า เกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมของนายโสภณที่ส่งไปยัง กรมอัยการ จะส่งไปทางไปรษณีย์หรือมอบให้ผู้ใดไปยื่น และการที่ อธิบดีกรมอัยการจะได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการการปกครองของสภาผู้แทน ราษฎรว่าอย่างไรนั้น ไม่น่าจะเป็นประเด็นเกี่ยวข้องกับคดีที่ โจทก์ฟ้องนี้แต่อย่างใดนั้น เห็นว่าการที่นายโสภณได้มีหนังสือ ร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีกรมอัยการนั้นย่อมเกี่ยวเนื่องกับคดีนี้โดยตรง เพราะหนังสือร้องเรียนดังกล่าวที่มีไปถึงกรมอัยการ ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2527 ซึ่งอธิบดีกรมอัยการก็ยอมรับต่อ คณะกรรมาธิการการปกครองของสภาผู้แทนราษฎรว่า หนังสือฉบับนี้ได้ ส่งมาทางไปรษณีย์ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่หนังสือดังกล่าวได้มาถึง กรมอัยการ เวลา 11 นาฬิกา ของวันเดียวกัน นอกจากนี้เมื่ออธิบดีกรมอัยการได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วก็ได้รีบมีคำสั่งส่งเรื่องให้ โจทก์ดำเนินการในวันเดียวกันนั้นทันที โจทก์ก็ได้สั่งให้อัยการ จังหวัดภูเก็ตส่งสำนวนการสอบสวนมาให้พิจารณาแล้วแจ้งให้ผู้บังคับ การกองปราบปรามกรมตำรวจทำการสอบสวนเพิ่มเติม ผู้บังคับการ กองปราบปรามได้สั่งให้พนักงานสอบสวนชุดใหม่ไปสอบสวน เมื่อสอบสวน เสร็จได้ส่งสำนวนให้โจทก์ โจทก์ก็ทำความเห็นสั่งไม่ฟ้องนายโสภณและรายงานต่ออธิบดีกรมอัยการ ตามเอกสารหมาย จ.2 ทั้ง ๆ ที่การ ดำเนินการดังกล่าวมีขั้นตอนต่าง ๆ เป็นอันมาก แต่ก็ได้ดำเนินการไปอย่างรวดเร็วเป็นที่ส่อพิรุธอย่างมาก โจทก์ฎีกาต่อไปว่า พนักงานสอบสวนที่โจทก์ให้กองปราบปรามสอบสวนเพิ่มเติมนั้น เป็นพนักงานสอบสวนที่ทำการสอบสวนมาแต่แรกแล้วมาทำการสอบสวนเพิ่มเติม หาใช่ สั่งให้พนักงานสอบสวนกองปราบปราม ตั้งพนักงานสอบสวนขึ้นมาใหม่ แต่อย่างใดไม่ เห็นว่าพนักงานสอบสวนที่ผู้บังคับการกองปราบปราม ตั้งขึ้นมาคือ พันตำรวจเอกผาด ดวงฤทธิ์ และพันตำรวจโทประกฤติ โกมลฐิติ ให้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมนั้น จะเป็นพนักงานสอบสวนโดย ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ยังมีข้อสงสัยอยู่ซึ่งเรื่องนี้อธิบดี กรมตำรวจได้มีหนังสือชี้แจงต่อเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามเอกสารหมาย ล.24 ว่า ตามระเบียบของกรมตำรวจว่าด้วย อำนาจการสอบสวน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2527 ข้อ 218 (3.1.1) กำหนดว่ากองปราบปรามมีอำนาจทำการสอบสวนความผิดอาญาได้ทั่วราชอาณาจักรแต่จะทำการสอบสวนได้ต่อเมื่อได้รับคำสั่งหรืออนุญาตจากอธิบดีกรมตำรวจ รองอธิบดีกรมตำรวจ ผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางหรือผู้รักษาการในตำแหน่ง ผู้รักษาราชการแทนหรือผู้ปฏิบัติราชการแทน ฯลฯ กรมตำรวจได้มีบันทึกสั่งการ ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2526 คำสั่งกรมตำรวจที่ 1264/2526 ลงวันที่ 27 กันยายน 2526 ที่ 844/2527 ลงวันที่ 2 กรกฎาคม 2527 และที่ 572/2528 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2528 ตามลำดับ แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนไว้ทำการสอบสวนเป็นการเฉพาะแล้ว แต่การสอบสวน เพิ่มเติมของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามคือพันตำรวจเอกผาด ดวงฤทธิ์ และพันตำรวจโทประกฤติ โกมลฐิติ กรมตำรวจได้ตรวจสอบรายละเอียดเรื่อง นี้แล้วไม่ปรากฏหลักฐานการสั่งการทางกรมตำรวจแต่ประการใด จึงไม่ สามารถที่จะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ โจทก์ฎีกาอีกว่า การที่อัยการจังหวัดภูเก็ตเสนอรายงานไปยังโจทก์ซึ่งเป็นอัยการพิเศษประจำ เขต 8 แจ้งว่าได้สั่งฟ้องนายโสภณและสั่งไม่ฟ้องนายประทีปหรือฮวด เกิดผล โจทก์ไม่ทำความเห็นแย้งในการสั่งฟ้องนายโสภณ เพราะคดีนี้ อัยการจังหวัดภูเก็ตเสนอโจทก์ในกรณีที่มีความเห็นไม่ฟ้องนายประทีป หรือฮวดเท่านั้น ส่วนนายโสภณ อัยการจังหวัดภูเก็ตสั่งฟ้องไว้แล้ว ไม่ได้เสนอโจทก์ในการที่สั่งฟ้อง และตามระเบียบคำสั่งของกรมอัยการ อัยการจังหวัดไม่ต้องเสนอความเห็นที่สั่งฟ้องไปยังอัยการพิเศษประจำ เขต 8 นั้น เห็นว่าโจทก์เองเบิกความว่า คดีที่อัยการจังหวัดสั่งฟ้อง ก่อนยื่นฟ้องต่อศาล อัยการพิเศษประจำเขต 8 มีอำนาจทำความเห็นแย้ง คือสั่งไม่ฟ้องได้ การที่อัยการจังหวัดเสนอรายงานมายังโจทก์ซึ่ง เป็นอัยการพิเศษประจำเขต 8 แล้วว่ามีความเห็นสั่งฟ้องนายโสภณ และสั่งไม่ฟ้องนายประทีป โจทก์มิได้ทำความเห็นแย้งแต่ประการใด ในการสั่งฟ้องนายโสภณก็เท่ากับโจทก์เห็นด้วยกับคำสั่งของอัยการจังหวัดที่สั่งฟ้องนายโสภณ ดังนั้นพฤติการณ์ที่โจทก์ให้กองปราบปราม ทำการสอบสวนพยานหลักฐานใหม่ และทำความเห็นใหม่เป็นสั่งไม่ฟ้อง นายโสภณในข้อหาใช้ จ้าง วาน ฆ่านายปรีดีกับพวก จึงเป็นที่น่าสงสัยดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยได้บันทึกในคำร้องขอความเป็นธรรมของผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ที่อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ให้กรมอัยการพิจารณาดำเนินการ ซึ่งต่อมาได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเช่นเดียวกับกรณีนายโสภณและรายงานให้จำเลยทราบแล้วตามเอกสารหมาย จ.9 ถึง จ.11 จำเลยย่อมทราบดีว่าอัยการพิเศษประจำเขตมีอำนาจสั่งคดีภายในเขตได้ แต่ยังให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ว่า อัยการพิเศษประจำเขตไม่มี อำนาจกลับคำสั่งของอัยการจังหวัด แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหายนั้น เห็นว่า ในเรื่องขั้นตอนและอำนาจหน้าที่ของอัยการพิเศษประจำเขตมีอยู่เพียงใดจำเลยอาจไม่ทราบก็ได้การที่จำเลยให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ตามข้อความดังกล่าวเนื่องจากกรณีที่ญาติของนายปรีดีได้มาร้องขอความเป็นธรรมโดยตรง ต่อจำเลยถึงพฤติการณ์ที่โจทก์มีคำสั่งไม่ฟ้องนายโสภณ จึงถือไม่ได้ว่าการกล่าวของจำเลยดังกล่าวมีเจตนาที่จะทำให้โจทก์ได้รับ ความเสียหาย ส่วนที่จำเลยยื่นคำแก้ฎีกาว่า คดีนี้มิใช่เป็นคดีที่ พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย หากเป็นกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ ดำเนินคดีด้วยตนเอง ดังนั้นโจทก์ชอบที่จะให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณา หรือลงลายมือชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ว่าจะเป็นคดีที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องด้วยตนเอง ก็ตาม ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดยมาตรา 218, 219 และ 220 แห่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ถ้าอธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อ รับรองฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยก็ให้รับฎีกา นั้นไว้พิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 เกี่ยวกับคดีนี้อธิบดีกรมอัยการได้มีหนังสือลงลายมือชื่อรับรองว่า รูปคดีมีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย ดังนั้น ศาลฎีกามี อำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าว โดยไม่จำต้องให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงลายมือชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามที่จำเลยโต้แย้ง…”
พิพากษายืน

Share