คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6127/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198มิได้บังคับให้ศาลจำต้องสั่งจำหน่ายคดีเสมอไป เพียงแต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งจำหน่ายคดีเมื่อพ้น 15 วันได้ ฉะนั้น ในกรณีที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี แม้โจทก์จะยื่นคำขอเมื่อพ้น 15 วัน ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและดำเนินการพิจารณาคดีโจทก์ต่อไปได้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การแล้วได้สั่งให้ไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสองด้วยหากผลการไต่สวนปรากฏว่าการขาดนัดของจำเลยทั้งสองมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น ศาลก็อาจมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาที่เห็นสมควรได้ แต่ผลการไต่สวนปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าการขาดนัดนั้นเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การจึงเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมถูกต้องแล้ว หาใช่นำมาใช้บังคับให้เป็นโทษแก่จำเลยทั้งสองฝ่ายเดียวไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นสามีจำเลยที่ 2 โจทก์และจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 12610เนื้อที่ 2 งาน 98 ตารางวา จากนายจำนงค์ในราคา 5,700 บาทโดยโจทก์ซื้อและครอบครองที่ดินทางทิศตะวันตก เนื้อที่ 1 งานราคา 2,000 บาท จำเลยที่ 1 ซื้อและครอบครองที่ดินทางทิศตะวันออกเนื้อที่ 1 งาน 98 ตารางวา ราคา 3,700 บาท โจทก์ให้จำเลยที่ 1มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในโฉนดแทนโจทก์เพราะเป็นบุตรชายจำเลยที่ 1 สัญญาว่าหากโจทก์ประสงค์ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์เมื่อใด จำเลยที่ 1 จะดำเนินการให้ วันที่ 21 ตุลาคม2519 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยเจตนาทุจริตคิดโกงโจทก์ โจทก์ครอบครองที่ดินส่วนของตนโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จึงให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 12610 ทางทิศตะวันตกเนื้อที่ 1 งาน เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนใส่ชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในส่วนของโจทก์และให้ความยินยอมแบ่งแยกที่ดินตามส่วนของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ยินยอม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 12610ทางทิศตะวันตกเนื้อที่ 1 งาน เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ และแบ่งแยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 มิได้บังคับให้ศาลจำต้องสั่งจำหน่ายคดีเสมอไปเพียงแต่ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งจำหน่ายคดีเมื่อพ้น 15 วันได้ฉะนั้นในกรณีที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดี แม้โจทก์จะยื่นคำขอเมื่อพ้น 15 วัน ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและดำเนินการพิจารณาคดีโจทก์ต่อไปได้ ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าศาลชั้นต้นใช้บทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอันเป็นข้อกฎหมายที่ตัดสิทธิของจำเลยทั้งสองมาใช้บังคับ แต่ครั้นเมื่อมีข้อกฎหมายตัดสิทธิของโจทก์ ศาลกลับมิได้ใช้ข้อกฎหมายเช่นว่านั้นตัดสิทธิของโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่าเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การแล้ว ได้สั่งให้ไต่สวนคำร้องขอยื่นคำให้การของจำเลยทั้งสอง ซึ่งหากผลการไต่สวนปรากฏว่าการขาดนัดของจำเลยทั้งสองมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น ศาลก็อาจมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาที่เห็นสมควรได้ แต่กลับปรากฏหลักฐานชัดแจ้งว่าการขาดนัดนั้นเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควร ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การจะเห็นได้ว่าศาลชั้นต้นได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมถูกต้องแล้วหาใช่นำมาใช้บังคับให้เป็นโทษแก่จำเลยทั้งสองฝ่ายเดียวไม่
พิพากษายืน

Share