คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6124/2556

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คดีอาญาศาลจะยกฟ้อง พ. ระบุว่า พ. มิได้กระทำโดยประมาทก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงยุติว่า พ. เป็นคนขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้แล่นข้ามเกาะกลางถนนพุ่งชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 โดยสารมาด้วยเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจาก พ. และโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสี่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก พ. และโจทก์ โจทก์ยอมชำระค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสี่ เงินจำนวนนี้จึงเป็นเงินที่จำเลยทั้งสี่รับมาโดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่เงินที่จำเลยทั้งสี่รับมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายที่จะเป็นลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406 วรรคหนึ่ง ส่วนสาเหตุที่รถที่ พ. ขับเสียหลักเป็นเพราะความประมาทของผู้ใดก็เป็นเรื่องที่ พ. จะไปว่ากล่าวกับบุคคลนั้น ไม่เกี่ยวกับจำเลยทั้งสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระเงิน 702,732 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 700,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ต่อมาโจทก์และจำเลยทั้งสี่ตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดคดีในประเด็นพิพาทข้อเดียวว่า เงินที่โจทก์จ่ายแก่จำเลยทั้งสี่รวม 700,000 บาท ตามคำฟ้องเป็นลาภมิควรได้หรือไม่ สละประเด็นข้อพิพาทอื่น ๆ และส่งเอกสารประกอบการวินิจฉัยโดยต่างรับว่าเอกสารที่แต่ละฝ่ายส่งถูกต้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 700,000 บาท คืนโจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กรกฎาคม 2549) สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 และนับแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2549 สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันฟังยุติว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ภฉ – 6192 กรุงเทพมหานคร นางพรฉัตรขับรถยนต์คันดังกล่าวเสียหลักแล่นข้ามเกาะกลางถนนชนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน วฬ 6758 กรุงเทพมหานคร มีจำเลยที่ 1 เป็นคนขับสวนทางมาในช่องเดินรถฝั่งตรงข้ามทำให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ที่นั่งมาด้วยบาดเจ็บสาหัส พนักงานอัยการฟ้องนางพรฉัตรและนางศิริพรเป็นจำเลยต่อศาลแขวงนนทบุรี ข้อหาขับรถโดยประมาท และความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบกโดยนางศิริพรขับรถยนต์กระบะบรรทุกสิ่งของโต๊ะ เก้าอี้ เต็มคันรถไม่จัดให้มีสิ่งป้องกันเป็นเหตุให้เก้าอี้เหล็กหรือโต๊ะปลิวลงมาตกกระแทกรถคันอื่นแล้วกระเด็นมาถูกรถของนางพรฉัตรที่ขับรถมาด้วยเร็วไม่ระมัดระวังเป็นเหตุให้รถยนต์ที่นางพรฉัตรขับเสียหลักข้ามเกาะกลางถนนไปชนรถที่จำเลยที่ 1 ขับ ทำให้จำเลยทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ระหว่างที่คดีอาญาดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณา จำเลยทั้งสี่ฟ้องนางพรฉัตรและโจทก์เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ข้อหาละเมิดเรียกให้ใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าเสียหายจากการที่นางพรฉัตรขับรถพุ่งเข้าชนรถของจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์กับจำเลยทั้งสี่ตกลงกันได้โดยโจทก์ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยทั้งสี่ 700,000 บาท จำเลยทั้งสี่ได้รับเงินและขอถอนฟ้องคดีไปแล้ว ต่อมาศาลแขวงนนทบุรีมีคำพิพากษาในคดีอาญาให้ยกฟ้องนางพรฉัตรโดยวินิจฉัยว่านางพรฉัตรไม่ได้เป็นผู้กระทำโดยประมาทแต่นางศิริพรเป็นผู้ประมาทขับรถยนต์กระบะบรรทุกสิ่งของไม่ระมัดระวังโต๊ะเก้าอี้ตกหล่นกระแทกรถผู้อื่น แล้วกระเด็นถูกรถของนางพรฉัตรทำให้รถนางพรฉัตรเสียหลักข้ามเกาะกลางถนนไปเฉี่ยวชนรถอื่นตามคำพิพากษาศาลแขวงนนทบุรี คดีอาญาดังกล่าวในส่วนของนางพรฉัตรถึงที่สุดไปแล้วไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกา โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่คืนเงิน 700,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เพราะนางพรฉัตรไม่ใช่ผู้กระทำโดยประมาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่าเงิน 700,000 บาท ที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับมาจากโจทก์เป็นลาภมิควรได้ที่จำเลยทั้งสี่ต้องคืนให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า แม้คดีอาญาศาลแขวงนนทบุรีจะพิพากษายกฟ้องนางพรฉัตรระบุว่านางพรฉัตรมิได้กระทำโดยประมาทก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติว่านางพรฉัตรเป็นคนขับรถคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้แล่นข้ามเกาะกลางถนนพุ่งเข้าชนรถยนต์ที่จำเลยที่ 1 ขับ มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 โดยสารมาด้วยเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสี่ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยทั้งสี่จึงมีสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากนางพรฉัตรและโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสี่ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนางพรฉัตรและโจทก์ โจทก์ยอมชำระค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสี่รวม 700,000 บาท เงินจำนวนนี้จึงเป็นเงินที่จำเลยทั้งสี่รับมาโดยมีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ มิใช่เงินที่จำเลยทั้งสี่รับมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายที่จะเป็นลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่รถที่นางพรฉัตรขับเสียหลักเป็นเพราะความประมาทของผู้ใดก็เป็นเรื่องที่นางพรฉัตรจะไปว่ากล่าวกับบุคคลนั้นไม่เกี่ยวกับจำเลยทั้งสี่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าเป็นลาภมิควรได้ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น
พิพากษากลับเป็นให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share