คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6121/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อระบุให้ผู้เช่าซื้อนำค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไปชำระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของเจ้าของ จึงเป็นภาระหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อที่ต้องนำเงินค่างวดไปชำระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อ การที่จำเลยที่ 1 นำสืบถึงข้อตกลงว่าพนักงานของโจทก์จะเป็นผู้ไปเก็บค่างวดแก่จำเลยที่ 1 เอง จึงเป็นการแตกต่างไปจากที่ระบุไว้ในสัญญา เป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเอกสารสัญญาเช่าซื้อ ต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคสอง เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ จึงเป็นการผิดสัญญา สัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันทันทีโดยเจ้าของผู้ให้เช่าซื้อไม่ต้องบอกกล่าวก่อน
ฟ้องโจทก์ที่ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์และค่าขาดราคาไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เพราะมิใช่กรณีที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่าเกี่ยวแก่สัญญาเช่านั้น อันจะต้องใช้สิทธิฟ้องภายใน 6 เดือน นับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ในราคา 1,101,532.73 บาท ชำระในวันทำสัญญา112,149.53 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระงวดละ 22,055 บาท รวม 48 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 และทุกวันที่ 10 ของทุกเดือนจนกว่าจะครบ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ตั้งแต่งวดที่ 3 ถือว่าสัญญาเลิกกันทันที แต่จำเลยที่ 1ไม่คืนรถยนต์ให้โจทก์ ต่อมาวันที่ 18 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ติดตามยึดรถยนต์คืนได้ในสภาพเสื่อมโทรมและเสียค่าติดตามนำรถยนต์กลับคืนเป็นเงิน 3,600 บาท โจทก์นำรถยนต์ออกขายได้ราคาเพียง 372,000 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 839,660.35 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และโจทก์ตกลงกันว่าพนักงานของโจทก์จะมาเก็บค่างวดเช่าซื้อที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 เอง แต่โจทก์ไม่ได้ให้พนักงานมาเก็บค่าเช่าซื้องวดที่ 4 จำเลยที่ 1 ไม่ผิดสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกันทันที โจทก์ไม่มีสิทธิยึดรถยนต์คืน ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 462,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2541 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 21มิถุนายน 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ตามฟ้องจากโจทก์ในราคา1,101,532.73 บาท ชำระในวันทำสัญญา 112,149.53 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระงวดละ 22,055 บาท เป็นเวลา 48 งวด โดยชำระทุกวันที่ 10 ของเดือน มีจำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อแล้ว จำเลยที่ 1ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ 2 งวด

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ทางปฏิบัติจำเลยที่ 1 และโจทก์ตกลงกันว่า พนักงานของโจทก์จะมาเก็บค่างวดเช่าซื้อที่ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 เอง แต่พนักงานของโจทก์ไม่มา จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ เห็นว่าตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 2 ระบุว่า ผู้เช่าซื้อจะนำค่าเช่าซื้อที่ค้างไปชำระณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของเจ้าของตามกำหนดต่อไปนี้รวม 48 งวด เป็นเงิน989,383.20 บาท โดยยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 งวดละ 20,612.15 บาททุกวันที่ 10 ของแต่ละเดือน เริ่มตั้งแต่งวดวันที่ 10 กรกฎาคม 2538 เป็นต้นไป ตามข้อสัญญาดังกล่าวกำหนดเป็นภาระหน้าที่ที่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อจะต้องนำค่างวดเช่าซื้อไปชำระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของโจทก์ผู้ให้เช่าซื้อ การที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า มีการตกลงกันว่าพนักงานของโจทก์จะไปเก็บค่างวดเช่าซื้อแก่จำเลยที่ 1 เอง ซึ่งแตกต่างไปจากข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อดังกล่าว จึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมเอกสารสัญญาเช่าซื้อ อันเป็นการต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 วรรคสอง ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องนำค่างวดเช่าซื้อไปชำระ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของโจทก์ตามที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าซื้อข้อ 2 เมื่อจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่าไม่ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ จึงเป็นการผิดสัญญาต่อโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 10ที่ระบุว่า ถ้าผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้องวดหนึ่งงวดใด ถือว่าสัญญาเลิกกันทันทีโดยเจ้าของไม่ต้องบอกกล่าวก่อน

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อที่สองมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อไปหรือไม่ เพียงใด จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงเมื่อโจทก์มายึดรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยที่ 1 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2540 ดังนั้นการครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อของจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อจึงเป็นการครอบครองในฐานะผู้เช่าซื้อ จำเลยที่ 1 มิได้ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์แต่ประการใดนั้น เห็นว่า เมื่อสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เลิกกันทันทีที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์จึงย่อมมีผลทำให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมแต่ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายแก่กัน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 การที่สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงแล้ว จำเลยที่ 1 ยังคงครอบครองใช้รถยนต์ที่เช่าซื้อของโจทก์ตลอดมา โดยไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจเข้าครอบครองและใช้ประโยชน์จากรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 อันเป็นค่าขาดประโยชน์หรือค่าใช้ทรัพย์ของโจทก์ตลอดเวลาที่จำเลยที่ 1 ยังครอบครองทรัพย์ของโจทก์อยู่ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าขาดประโยชน์เป็นเวลา 27 เดือน ตามที่โจทก์ขอเป็นเงินเดือนละ6,000 บาท ให้แก่โจทก์นั้นเหมาะสมแล้ว

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อที่สามมีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดราคารถยนต์ที่จำเลยที่ 1 เช่าซื้อไปจากโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าเมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน โดยจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดราคาได้อีก เห็นว่า ตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 10 ระบุว่าภายหลังจากสัญญาเลิกกันแล้ว ถ้าทรัพย์สินที่เช่าซื้อมีสภาพหรือราคาไม่คุ้มค่าเช่าซื้อที่เหลืออยู่ ผู้เช่าซื้อจะชดใช้ให้เจ้าของจนครบถ้วน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของโจทก์โดยจำเลยที่ 1 มิได้มีพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่นรับฟังได้ว่า โจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อคืนจากจำเลยที่ 1 ตามใบรับมอบและแจ้งสภาพสินค้าเอกสารหมาย จ.7 แล้วนำออกขายโดยเปิดเผยได้เงินจำนวน 372,000บาท ตามหลักฐานใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีเอกสารหมาย จ.8 ทำให้โจทก์ยังขาดราคารถยนต์อยู่อีก ดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาได้ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 10

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อสุดท้ายมีว่า ฟ้องโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดประโยชน์และค่าขาดราคาขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายทั้งสองกรณีไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องใช้อายุความสิบปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 เพราะมิใช่กรณีที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่าเกี่ยวแก่สัญญาเช่านั้น อันจะต้องใช้สิทธิฟ้องภายใน 6 เดือน นับแต่วันส่งคืนทรัพย์สินที่เช่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563 ดังฎีกาของจำเลยที่ 1 ไม่ ได้ความว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงวันที่ 10 กันยายน 2538 และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2541 ฟ้องโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวจึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาทุกข้อของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น…”

พิพากษายืน

Share