แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่หน้าร้านค้าและเสาไฟฟ้าสาธารณะซึ่งปักอยู่เป็นระยะๆน่าเชื่อว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างมากพอที่ผู้เสียหายที่1กับ ส. จะสามารถมองเห็นเหตุการณ์ต่างๆได้ชัดเจนประกอบกับ ส. รู้จักจำเลยมาก่อนทั้งก่อนเกิดเหตุประมาณ1ชั่วโมงจำเลยขับรถจักรยานยนต์มีธ. นั่งซ้อนท้ายไปพบผู้เสียหายที่1กับ ส. และ ส.ได้พูดคุยกับจำเลยด้วยก่อนที่จะเกิดเหตุ ธ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองโดยจำเลยเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ให้ ธ.นั่งซ้อนท้ายไปจึงเชื่อว่าผู้เสียหายที่1กับ ส. มีโอกาสเห็นและจำคนร้ายได้
ย่อยาว
คดี นี้ เดิม ศาลชั้นต้น รวม พิจารณา พิพากษา เข้า กับ คดีอาญาหมายเลขแดง ที่ 1753/2537 ของ ศาลชั้นต้น แต่ คดี ดังกล่าว ถึงที่สุดแล้ว ใน ชั้นอุทธรณ์ คง มี ปัญหา มา สู่ ศาลฎีกา เฉพาะคดี นี้
โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 19 พฤษภาคม 2534 เวลา กลางคืน หลังเที่ยง จำเลย กับ นาย ธนา เทพารักษ์ จำเลย ใน คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 1753/2537 ของ ศาลชั้นต้น ได้ ร่วมกัน ใช้ อาวุธปืน สั้น 1 กระบอกยิง นาย จรินทร์ ทองน้อย ผู้เสียหาย ที่ 1 และ นาย ยุทธนา ทองน้อย ผู้เสียหาย ที่ 2 จำนวน หลาย นัด โดย เจตนาฆ่า จำเลย กับพวก ได้ ลงมือ กระทำความผิด ไป ตลอด แล้ว แต่ การกระทำ ไม่บรรลุผล เนื่องจาก กระสุนปืนไม่ ถูก ผู้เสียหาย ที่ 1 แต่ ไป ถูก ผู้เสียหาย ที่ 2 บริเวณ เหนือ ข้อ ศอกขวา จน เส้นประสาท ขาด และ ผู้เสียหาย ที่ 2 ได้รับ การ รักษา ทันท่วงทีจึง เพียงแต่ ได้รับ อันตรายสาหัส เหตุ เกิด ที่ ตำบล นาสาร อำเภอ บ้านนาสาร จังหวัด สุราษฎร์ธานี ขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80, 83 ลงโทษ จำคุก 12 ปี
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ทางพิจารณา โจทก์ นำสืบ ว่า เมื่อ วันที่19 พฤษภาคม 2534 เวลา ประมาณ 20 นาฬิกา นาย สมเจตน์ นาคเจริญ ขับ รถจักรยานยนต์ มี นาย จรินทร์ ทองน้อย ผู้เสียหาย ที่ 1 ซ้อน ท้าย ไป เที่ยว ที่ ตลาด นา สาร และ ไป จอดรถ นั่ง อยู่ ที่ หน้า เสา ธง หลังสถานีรถไฟ บ้าน นาสาร จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์ มี นาย ธนา เทพารักษ์ ซ้อน ท้าย มา จอด พูด คุย กับ นาย สมเจตน์ ประมาณ 5 นาที แล้ว จำเลย ขับ รถ ออก ไป ส่วน นาย สมเจตน์ ขับ รถจักรยานยนต์ มี ผู้เสียหาย ที่ 1ซ้อน ท้าย วนเวียน อยู่ ใน ตลาด นาสาร จน เวลา ประมาณ 21.30 นาฬิกา ได้ ขับ รถ ไป ถึง ถนน นาสารใน พบ นาย ยุทธนา ทองน้อย ผู้เสียหาย ที่ 2 ยืน อยู่ ที่ หน้า ร้าน ซ่อม รถจักรยานยนต์ จึง ได้ จอดรถ พูด คุย กับผู้เสียหาย ที่ 2 โดย ยัง นั่ง คร่อม อยู่ บน รถ ขณะ เดียว กับ ที่ จำเลย ได้ขับ รถจักรยานยนต์ มี นาย ธนา ซ้อน ท้าย ผ่าน มา เมื่อ เข้า มา ใน ระยะ ห่าง จาก ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ประมาณ 10 เมตร นาย ธนา ได้ ชัก อาวุธปืน ออกจาก เอว เล็ง ยิง ไป ทาง กลุ่ม ผู้เสียหาย 1 นัด แล้ว จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์พา นาย ธนา ซ้อน ท้าย หลบหนี ไป ปรากฏว่า กระสุนปืน ถูก แขน เสื้อ ของ ผู้เสียหาย ที่ 1 ด้านซ้าย บริเวณ ใต้ รักแร้ ขาด เป็น รู แล้ว ทะลุ ไป ถูกเหนือ ข้อ ศอก ขวา ของ ผู้เสียหาย ที่ 2 ได้รับ บาดเจ็บ เส้นประสาท ขาดบางส่วน ชาวบ้าน ช่วย กัน นำ ผู้เสียหาย ที่ 2 ส่ง ไป รักษา ที่ โรงพยาบาล บ้านนาสาร ส่วน ผู้เสียหาย ที่ 1 ไป แจ้งความ ที่ สถานีตำรวจภูธร อำเภอ บ้านนาสาร ทันที ร้อยตำรวจเอก ยุทธภูมิ กลิ่นโลกัย พนักงานสอบสวน ได้ ออก ไป ตรวจ สถานที่เกิดเหตุ ทำแผน ที่ สังเขป แสดง สถานที่เกิดเหตุและ สอบ ปากคำ ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ไว้ ต่อมา วันที่ 22 กรกฎาคม 2534ผู้เสียหาย ที่ 2 นำ ชี้ ให้ ร้อยตำรวจโท เสวียน พิณสุวรรณ จับ นาย ธนา ได้ และ วันที่ 29 มีนาคม 2535 เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย ได้ ตาม หมายจับ ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
จำเลย นำสืบ ปฏิเสธ อ้าง ฐาน ที่อยู่
พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง เบื้องต้น ฟังได้ ว่า ตาม วัน เวลา และสถานที่เกิดเหตุ ตาม ฟ้อง คนร้าย 2 คน ร่วมกัน ใช้ อาวุธปืน ยิง นาย จรินทร์ ทองน้อย ผู้เสียหาย ที่ 1 และ นาย ยุทธนา ทองน้อย ผู้เสียหาย ที่ 2 กระสุนปืน ถูก ผู้เสียหาย ที่ 2 ที่ บริเวณ เหนือข้อ ศอก ขวา ได้รับ บาดเจ็บ สาหัส คดี มี ปัญหา มา สู่ การ พิจารณา ของ ศาลฎีกาตาม ฎีกา ของ จำเลย ว่า จำเลย เป็น คนร้าย ร่วม กระทำ ความผิด ตาม ฟ้องโจทก์ หรือไม่ โจทก์ มี ผู้เสียหาย ที่ 1 และ นาย สมเจตน์ นาคเจริญ เป็น ประจักษ์พยาน มา เบิกความ ยืนยัน ว่า จำเลย เป็น คนร้าย คนหนึ่งโดย เป็น ผู้ขับ รถจักรยานยนต์ มี นาย ธนา นั่ง ซ้อน ท้าย และ ผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ เห็น จำเลย ครั้งแรก เมื่อ เวลา ประมาณ 20 นาฬิกา ขณะ ผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ นั่ง อยู่ ที่ หน้า เสา ธง สถานีรถไฟ บ้านนาสาร จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์ มี นาย ธนา นั่ง ซ้อน ท้าย มา จอด และ พูด คุย กับ นาย สมเจตน์ ต่อมา เวลา ประมาณ 21 นาฬิกา ผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ ขับ รถจักรยานยนต์ ไป ถึง หน้า ร้าน ซ่อม รถจักรยานยนต์ ถนน นาสารใน พบ ผู้เสียหาย ที่ 2 ยืน อยู่ ที่ หน้า ร้าน จึง จอดรถ และ พูด คุย กับ ผู้เสียหาย ที่ 2 ขณะ นั้น ผู้เสียหายที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ ยัง นั่ง คร่อม รถจักรยานยนต์ อยู่ จำเลย ได้ ขับ รถ จักรยานยนต์ มี นาย ธนา นั่ง ซ้อน ท้าย มา ที่ บริเวณ หน้า ร้าน ซ่อม รถ จักรยานยนต์ ครั้น มา ห่าง จาก ผู้เสียหาย ที่ 1 และ ที่ 2 ประมาณ 10 เมตรนาย ธนา ชัก อาวุธปืน สั้น ยิง มา ทาง ผู้เสียหาย ทั้ง สอง 1 นัด กระสุนปืน ถูก เสื้อ ผู้เสียหาย ที่ 1 ใต้ รักแร้ และ ทะลุ ผ่าน ไป ถูก ผู้เสียหาย ที่ 2ที่ แขน ขวา แล้ว จำเลย และ นาย ธนา พา กัน หลบหนี ไป ศาลฎีกา เห็นว่า บริเวณ ที่เกิดเหตุ มี แสง สว่าง จาก ไฟฟ้า ที่ หน้า ร้านค้า และ เสา ไฟฟ้าสาธารณะ ซึ่ง ปัก อยู่ เป็น ระยะ ๆ ตาม แผนที่ สังเขป แสดง สถานที่เกิดเหตุเอกสาร หมาย จ. 1 จึง น่าเชื่อ ว่า บริเวณ ที่เกิดเหตุ มี แสง สว่าง มากพอ ที่ จะ เห็น เหตุการณ์ ต่าง ๆ และ ผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ สามารถ มองเห็น ได้ ชัดเจน โดยเฉพาะ นาย สมเจตน์ รู้ จัก จำเลย มา ก่อน ทั้ง ก่อน เกิดเหตุ เพียง ประมาณ 1 ชั่วโมง จำเลย ขับ รถจักรยานยนต์ มีนาย ธนา นั่ง ซ้อน ท้าย ไป พบ ผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ ที่ หน้า เสา ธง สถานีรถไฟ บ้านนาสาร รวมทั้ง นาย สมเจตน์ ได้ พูด คุย กับ จำเลย ด้วย ต่อมา ก็ เกิดเหตุ คดี นี้ จาก พฤติการณ์ ดังกล่าว จะ เห็น ได้ว่าผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ มี โอกาส เห็น คนร้าย ที่ ผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ ยืนยัน ว่า เป็น จำเลย ใกล้ชิด ถึง 2 ครั้ง แม้ นาย สมเจตน์ จะ จำ ลักษณะ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ของ คนร้าย ไม่ได้ ก็ หา เป็น พิรุธ ไม่ เพราะ เหตุ ที่ เกิดขึ้น เป็น ไป อย่าง รวดเร็ว และ ภายในระยะเวลา อัน สั้น นาย สมเจตน์ จึง อาจจะ ไม่ ทัน ได้ สังเกต หรือ จด จำ เครื่องแต่งกาย ของ คนร้าย ใน ขณะ เกิดเหตุ ก็ เป็น ได้ หา เป็นเหตุทำให้ เกิด ความ สงสัย ว่า พยานโจทก์ ดังกล่าว เห็น คนร้าย ไม่ ถนัด หรือจด จำ คนร้าย ไม่ได้ แต่ ประการใด ไม่ นอกจาก นี้ ภายหลัง เกิดเหตุผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ ก็ ได้ นำ ความ ไป แจ้ง ต่อ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธร อำเภอ บ้านนาสาร ระบุ ว่า จำเลย เป็น คนร้าย รวมทั้ง ได้ ระบุ รูปพรรณ รายละเอียด เกี่ยวกับ จำเลย ซึ่ง พนักงานสอบสวน ได้ ออกหมายจับ ไว้ ต่อมา เมื่อ จำเลย ถูกจับ ตาม หมายจับดังกล่าว นาย สมเจตน์ ก็ ได้ ไป ดู ตัว และ ยืนยัน ว่า จำเลย เป็น คนร้าย ตาม ที่นาย สมเจตน์ ได้ ให้การ ต่อ พนักงานสอบสวน ใน วันเกิดเหตุ ปรากฏ ตาม เอกสาร หมาย จ. 7 และ จ. 8 ที่ จำเลย ฎีกา ว่า บันทึก การ ชี้ ตัว ผู้ต้องหาตาม เอกสาร หมาย จ. 5 และ จ. 6 ระบุ ว่า พยาน ไม่ประสงค์ จะ ชี้ ตัวผู้ต้องหา เนื่องจาก ไม่มี ตัว ผู้ต้องหา ใช้ อาวุธปืน ยิง ผู้เสียหายจึง น่าเชื่อ ว่า ไม่มี ผู้กระทำผิด จริง หรือ จำ หน้า คนร้าย ไม่ได้ นั้นเห็นว่า แม้ จะ ปรากฏ ตาม บันทึก การ ชี้ ตัว ผู้ต้องหา ดังกล่าว ว่าผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ ไม่ประสงค์ จะ ชี้ ตัว ผู้ต้องหา โดย ให้ เหตุผล ว่า ไม่มี ผู้ต้องหา ซึ่ง เป็น คนร้าย ที่ ใช้ อาวุธปืน ยิงผู้เสียหาย ใน วันเกิดเหตุ ก็ ตาม แต่ ก็ ได้ความ จาก คำเบิกความ ของผู้เสียหาย ที่ 1 กับ นาย สมเจตน์ ว่าความ จริง ใน การ ชี้ ตัว ผู้ต้องหา ดังกล่าว มี ตัว นาย ธนา อยู่ ด้วย เหตุ ที่ ไม่ได้ ชี้ ตัว นาย ธนา เพราะ เจ้าพนักงาน ตำรวจ บอก ว่า ไม่ต้อง ชี้ ตัว โดย อ้างว่า ผู้ต้องหา ชดใช้ ค่าเสียหาย ให้ แก่ ผู้เสียหาย ที่ 2 แล้ว หาใช่ การ ชี้ ตัวดังกล่าว ไม่มี ผู้กระทำผิด หรือ พยาน จำ หน้า คนร้าย ไม่ได้ ดัง ฎีกาของ จำเลย ไม่ ที่ จำเลย ฎีกา อีก ข้อ หนึ่ง ว่า พยานโจทก์ ทั้ง สอง รู้ จักจำเลย และ นาย ธนา ไม่มี สาเหตุ โกรธเคือง กัน หาก เป็น คนร้าย จริง จำเลย และ นาย ธนา ย่อม ปกปิด ใบหน้า นั้น เห็นว่า การ ที่นาย ธนา ใช้ อาวุธปืน ยิง ผู้เสียหาย ทั้ง สอง ดังกล่าว อาจจะ มีมูล เหตุ มาจาก เหตุอื่นก็ เป็น ได้ หา จำต้อง มีเหตุ โกรธเคือง กัน เสมอ ไป ไม่ และ การ ไม่ปกปิด ใบหน้า ของ คนร้าย ก็ หา ขัด ต่อ เหตุผล แต่ ประการใด ไม่ พยานหลักฐานโจทก์ ฟังได้ โดย ปราศจาก สงสัย ว่า จำเลย เป็น คนร้าย ร่วม กระทำ ความผิดตาม ที่ โจทก์ ฟ้อง พยานหลักฐาน จำเลย ไม่อาจ หักล้าง พยานหลักฐาน โจทก์ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษา มา นั้น ศาลฎีกา เห็นพ้อง ด้วย ฎีกา จำเลยฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน