แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายเงินลงวันล่วงหน้าให้แก่บริษัทโรงงานฝ้ายกรุงเทพฯๆ สลักหลังโอนให้โจทก์ๆ ผู้ทรงเช็คได้รับไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนแล้วถือว่าเช็คนั้นย่อมสมบูรณ์จำเลยจะยกข้อต่อสู้ในเรื่องที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมกับบริษัทโรงงานฝ้ายกรุงเทพฯ ผู้โอนเช็คขึ้นมาต่อสู้มิได้เพราะในหลักเรื่องตั๋วเงินมีว่าผู้รับโอนย่อมมีอำนาจดีกว่าผู้โอนหาใช่ผู้โอนมีอำนาจดีกว่าผู้รับโอนดังนั้นผู้สั่งจ่ายเช็คและผู้สลักหลังยอมรับผิดต่อผู้ทรงเช็คคือโจทก์เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้เงินตามเช็คเต็มจำนวนแล้วโจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยได้ ทั้งมิใช่เป็นการแปลงหนี้ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา349 เพราะระหว่างโจทก์และบริษัทโรงงานฝ้ายมิได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ยังคงปฏิบัติถือตามหนี้เดิมอยู่
แต่เมื่อได้ความว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ที่โรงงานฝ้ายโอนเช็คใช้ให้ครบจำนวนแล้วโจทก์ก็ไม่มีสิทธิที่เรียกเงินจากจำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คได้อีก
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยได้ออกเช็คจ่ายให้กับบริษัทโรงงานฝ้ายกรุงเทพ ฯ จำกัด หรือผู้ถือเป็นเงิน 50,000 บาท เช็คนี้โรงงานฝ้ายกรุงเทพ ฯ จำกัดได้สลักหลังใช้หนี้ให้โจทก์ โจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีธนาคารแนชชั่นแนลแอลแต่เข้าไม่ได้ โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระแต่จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้ศาลบังคับชำระ
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์กับบริษัทโรงงานฝ้ายกรุงเทพ ฯ จำกัดคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายในการโอนเช็ครายนี้จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดกันว่าจำนวนเงินตามเช็ครายพิพาทโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมกับบริษัทโรงงานฝ้าย ฯ โจทก์ได้รับชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมกับบริษัทโรงงานฝ้าย ฯไปครบจำนวนเงินตามเช็คแล้ว
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 25,000 บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ตามฎีกาจำเลยข้อแรกได้ความว่าเช็คพิพาทหมาย จ.1 เป็นเช็คสั่งจ่ายเงินลงวันล่วงหน้าซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่บริษัทโรงงานฝ้าย ฯ บริษัทโรงงานฝ้ายสลักหลังโอนให้โจทก์เมื่อโจทก์ผู้ทรงเช็คได้รับไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเช็คนั้นย่อมสมบูรณ์ จำเลยจะยกข้อต่อสู้ซึ่งมีอยู่กับคู่สัญญาคือบริษัทโรงงานฝ้าย ฯ ต่อโจทก์ผู้ทรงเช็คหรือผู้รับโอนมิได้เพราะในหลักเรื่องตั๋วเงินผู้รับโอนย่อมมีอำนาจดีกว่าผู้โอนหาใช่ผู้โอนมีอำนาจดีกว่าผู้รับโอนดังจำเลยเถียงมาในฎีกาไม่ ผู้สั่งจ่ายเช็คและผู้สลักหลังย่อมรับผิดต่อผู้ทรงเช็คคือโจทก์เมื่อโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้เงินตามเช็คเต็มจำนวนแล้วโจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยได้ตามสัญญาประนีประนอมเอกสารหมาย ล.1 นั้นหาใช่เป็นการแปลงหนี้ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 ดังจำเลยคัดค้านไม่เพราะระหว่างโจทก์และบริษัทโรงงานฝ้าย ฯมิได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ยังคงปฏิบัติถือตามหนี้เดิมอยู่ ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงตกไป
ตามฎีกาจำเลยข้อสองศาลฎีกาได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงพร้อมด้วยพฤติการณ์ทั้งหลายประกอบแล้วเห็นว่าฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ที่โรงงานฝ้ายโอนเช็คใช้ให้ไปครบจำนวนแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินจากจำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คอีกประเด็นข้อสุดท้ายไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไป ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นด้วยประการฉะนี้
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์