คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 612/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์นั้นผู้ใดจะยกเอาโฉนดมาต่อสู้ถือกรรมสิทธิมิได้

ย่อยาว

คดี 2 สำนวนนี้เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกันศาลจึงได้รวมสำนวนพิจารณาพิพากษา โจทก์กล่าวฟ้องทั้ง 2 สำนวนเป็นใจความว่าจำเลยทั้ง 2 สำนวนเข้าแย่งเอาที่ป่าช้าของวัดพิชัยบูรณารามโจทก์ โดยขอออกโฉนดนาพิพาทเป็นโฉนดเลขที่ 4353 และ 4329 ขอให้ศาลเพิกถอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและห้ามจำเลยไม่ให้เกี่ยวข้อง จำเลยทั้ง 2 สำนวนต่อสู้เป็นใจความว่าที่พิพาทไม่ใช่ของวัดเป็นที่รกร้างว่างเปล่าจำเลยได้เข้าจับจองและขอออกโฉนดโดยสุจริตและโอนซื้อขายกันโดยเปิดเผยและมีค่าตอบแทน นอกจากนี้ตัดฟ้องทั้ง 2 สำนวนว่า 1. โจทก์เป็นนิติบุคคลไม่อาจใช้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทได้ 2. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินคดีแทนวัดได้ 3. คดีโจทก์ขาดอายุความ ศาลจังหวัดอุทัยธานีพิพากษาว่าที่พิพาทที่ 2 แปลงเป็นป่าช้าของวัดพิชัยฯ โจทก์ให้เพิกถอนทะเบียนกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาต่อมา ศาลฎีกาฟังว่าที่พิพาท 2 แปลงนี้เป็นที่อยู่ในเขตที่วัดโจทก์หรืออย่างน้อยก็เป็นสมบัติของวัดมีมาแต่โบราณกาล อันที่ธรณีสงฆ์ตาม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 40(1)หรือ (2) และ มาตรา 41 บัญญัติว่า “ที่วัดและที่ธรณีสงฆ์จะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติจำเลยไม่มีทางจะยกเอาโฉนดต่อสู้วัดได้ ข้อโต้แย้งต่าง ๆ ในฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน.

Share